Thursday, December 6, 2007

English, It's easy!--5--

English, it's easy!--5--
26 Nov '07

~~~ตอบคำถามประจำเดือนพฤศจิกายน~~~

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน สุดสัปดาห์กับการลอยกระทงเป็นอย่างไรบ้างค่ะ สนุกสนานกันดีหรือเปล่า How was you weekend? (ฮาว วอส ยัวร์ วีค เอนด์) ยังจำคำถามนี้ได้ใช่มั้ยค่ะที่แปลว่าสุดสัปดาห์เป็นอย่างไรบ้าง

ส่วนตัวฉันเองก็ไปลอยกระทงที่ท่าน้ำเจดีย์มาค่ะ แต่ Unfortunately--โชคไม่ค่อยดี น้ำลดมากว่าปกติทำให้ได้ลอยกระทงแบบที่เร้าใจมากกว่าเดิม... เรามาเริ่มสัปดาห์นี้ด้วยการตอบคำถามประจำเดือนพฤศจิกายนที่ถามเข้ามาหลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นโดยส่วนตัว อีเมล์ โทรศัพท์ จดหมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ค้างคาใจของใครหลายคน และมาเริ่มคำถามแรกกันกับ...

1. คำถามจากคุณไพรัตน์ ถามว่าคำว่า Iron ออกเสียงได้ว่าอย่างไร รู้สึกสับสนระหว่าง I-ron (ไอ-รอน)หรือ I-on (ไอ-ออน)
ตอบ คำว่า Iron- หากเป็นคำนามจะแปลได้ว่า ธาตุเหล็ก หรือเตารีด ก็ได้- เป็นกริยาแปลว่า รีดผ้า ทำให้เรียบ ใส่เหล็กแต่ไม่ว่าจะเป็นกริยาหรือนาม ก็อ่านเหมือนกันคือ ai-ron (ไอ-ร่อน)
ออกเสียงคล้ายกันกับคำว่า jai-ron (ใจร้อน) ในภาษาไทยนั่นเองค่ะ

2. คุณกฤษฎาถามว่า คำว่า type (ไทป) กับคำว่า kind (คายดึ ออกเสียงดึ เบาๆในลำคอ) ต่างกันอย่างไร
ตอบ
- Type of (ไทป-ออฟ)
- Kind of หรือ Kinda (ตัวย่อไม่เป็นทางการ) (คายด์-ออฟ... ...เวลาออกเสียง ให้ลากเสียง D มาที่ of จะกลายเป็น คาย-ดอฟ)
- Varieties of (วาไรที้ส์-ออฟ...เวลาออกเสียง ให้ลากเสียง S มาที่ of จะกลายเป็น วาไรที้-สอฟ )- Sort of หรือ Sorta (ตัวย่อไม่เป็นทางการ) (ซอร์ท-ทอฟ/ ซอร์ทะ)

ทั้งหมดนี้แปลว่า ชนิด/ ประเภท ใช้ได้เหมือนกันในทุกกรณี
ทั้งคน สัตว์ สิ่งของค่ะ


หากเราจะถามว่า “หล่อนชอบแบบไหน”
สามารถพูดได้ว่า “what’s her type?” (ว้อทส์-เฮอ-ไทป)

หรือ “คุณชอบฟังเพลงแนวอะไร” ถามได้ว่า
“what’s sort of your favorite music?”
(ว้อท-ซอร์ทอฟ-ยัวร์-เฟเวอริท-มิวสิค)

หรือ “สารเคมีในถังนี้เป็นชนิดใด” ถามได้ว่า
“what’s kind of chemical substance in the drum?”
(ว้อทส์-คาย-ดอฟ-เคมิคัล-สับสแท้นซ์-อิน-เดอะ-ดรัม)

3. คุณนวลจันทร์ ถามว่าN/A หรือ NA ย่อมาจากอะไรคะ
ตอบ N/A หรือ NA นั้นย่อมาจาก
- Not available (น้อท-อะวัย-เล-เบิ้ล) แปลว่า ไม่มี ไม่อยู่
- Not applicable (น้อท-แอ้ป-พลิ-เค-เบิ้ล) แปลว่า ไม่เหมาะสม ไม่สามารถใช้งานได้ค่ะ
เราสามารถเห็นคำเหล่านี้ได้ในคู่มือการใช้เครื่องไฟฟ้า หรือเครื่องมือต่างๆ หรืออาจจะเป็นเกม หรือแม้แต่การซื้อของ เช่น

- The shirt is not availble now.
(เดอะ เชิร์ต อีส น้อท อะวัยเลเบิ้ล นาว)
แปลว่า เสื้อเชิร์ตหมดค่ะ

- The type of spring is not applicable.
(เดอะ ไทป ออฟ สปริง อีส น้อท แอ้ปพลิเคเบิ้ล)
เชือกชนิดนั้นเป็นชนิดที่ไม่เหมาะสมจะนำมาใช้

4. คุณน้องฟ้า ถามว่าคนไทยว่า "เล่นคอม(computer)"
"เล่นเน็ท(Internet)" ฝรั่งจะว่าอะไร คงไม่ใช้คำว่า "play" ใช่ไหมคะ
ตอบ "เล่นคอม(computer)"
ใช้ว่า use a computer (ยูส-อะ-คอมพิวเตอร์)

"เล่นเน็ท(Internet)"
use the Internet (ยูส-ดิ-อินเทอร์เน็ท)
หรือใช้แสลงว่า surf net (เซิร์ฟ-เน็ท) ก็ได้ค่ะ

5. น้องคะนิ้ง อยากทราบว่า คำว่า "วันเว้นวัน" ในอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร
ตอบ คำว่า วันเว้นวัน ในภาษาอังกฤษจะใช้ว่า every other day (เอฟ-รี่-อา-เทอร์-เดย์)

เช่น ฉันทำงานพิเศษวันเว้นวัน จะพูดได้ว่า
“I work for part time job every other day.”
(ไอ-เวิร์ค ฟอร์-มาย-พาร์ท-ไทม์-จ็อบ-เอฟ-รี่ อา-เทอร์-เดย์)

6. คุณโชว์อี้หลาน อยากทราบความต่างของ Dear Sirs กับ Dear Sir or Madam. ต่างกันตรงไหนอย่างไร
ตอบ
- Dear Sirs (เดียร์-เซอร์ส) ใช้ในการเขียนจดหมายถึงบริษัท
- Dear Sir or Madam (เดียร์-เซอร์-ออร์-แมอึม) เป็นการเขียนจดหมายถึงใครบางคน แต่เราไม่ทราบว่าคนที่เราเขียนถึงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายค่ะ

7. คุณน้าสมชาย อยากทราบว่าคำว่า "VIA" อ่านว่า เวีย หรือว่า ไว-อะ กันแน่ ลองเช็คใน Talking dict อ่านว่า ไว-อะ แต่ทำไมตอนไปสัมนามีแต่คนออกเสียงว่า เวีย ทั้งนั้นเลย เช่น "Via Voice" เวีย วอยส์
ตอบ คำภาษาอังกฤษบางคำสามารถออกเสียงได้หลายแบบเช่น American English (อเมริกัน-อิงลิช คือภาษาอังกฤษที่ใช้ในอเมริกา) ออกเสียงแบบหนึ่ง British English (บริท-ทิช-อิงลิช คือภาษาอังกฤษที่ใช้ในอังกฤษ) ก็ออกเสียงเป็นอีกอย่างหนึ่งหรือแม้แต่ประเทศเดียวกันก็ยังออกเสียงต่างกันออกไปดังนั้นคำว่า "VIA" สามารถอ่านออกเสียงได้ทั้ง เวีย และ ไว'อะ ค่ะ

ตัวอย่าง

-It's not direct flight, sir. It will be via (at) Hongkong first.
(อิส น้อท ไดเร็คลี่ ไฟล์ท เซอร์ อิท วิล เวีย แอ็ท ฮ่องคอง เฟิร์ส)
แปลว่า มันไม่ใช่เที่ยวบินตรงค่ะ แต่จะไปหยุด/ผ่านที่ฮ่องกงก่อน

-I want to talk to you via phone, ok?
(ไอ ว้อท ทู ทอล์ค ทู ยู ไวอะ โฟน โอเค)
แปลว่า ฉันต้องการพูดกับคุณทางโทรศัพท์ได้มั้ย

8. คำถามจากคุณน้องหนูแจน สงสัยว่าประโยค I beg your pardon / pardon me หมายความว่าอย่างไร ใช้อย่างไร
ตอบ ประโยค I beg your pardon (ไอ-เบ็ค-ยัวร์-พาร์-ด้อน) เป็น British English (บริท-ทิช-อิงลิช) สามารถพูดสั้นๆได้ว่า Pardon me. (พาร์-ด้อน-มี)

ส่วน American English (อเมริกัน-อิงลิช) จะพูดว่า Excuse me. (เอ็กซ์-คิ้วส์-มี) และอีกคำหนึ่งที่เรามักจะใช้ก็คือ Sorry (ซอรี่)

**สามคำนี้แปลว่า ขอโทษ เหมือนกัน แต่ใช้ต่างกัน**

- I beg your pardon (ไอ-เบ็ค-ยัวร์-พาร์-ด้อน) หรือ Pardon me. (พาร์-ด้อน-มี๊) *ใช้ในสถานการณ์ที่ฟังไม่ชัด ได้ยินไม่ถนัด หรือไม่เข้าใจที่ผู้อื่นพูด เช่น

Pardon me, what did you say?
(พาร์-ด้อน-มี๊-ว้อท-ดิ้ด-ยู-เซย์)
แปลว่า ขอโทษค่ะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ

Pardon me, I cannot catch it.
(พาร์-ด้อน-มี๊-ไอ-แคน-น้อท-แคช-ชิท)
แปลว่า ขอโทษค่ะ ฉันฟังไม่ทัน

- Excuse me. (เอ็กซ์-คิ้วส์-มี)
*ใช้คำนี้ใช้ก่อนที่จะรบกวนหรือขัดจังหวะคนอื่น*

เช่น
Excuse me, give me a pen please?
(เอ็กซ์-คิ้วส์-มี-กิฟ-มี-อะ เพ็น-พลีส )
ขอโทษค่ะ ช่วยส่งปากกาให้หน่อยได้มั้ย

- Sorry (ซอ-รี่) *ใช้ในสถานการณ์เดียวกับ Pardon me.

ส่วนคำว่า I’m sorry. (แอม-ซอ-รี่) นั้นคนละความหมายกับ Sorry ในกรณีนี้
I’m sorry. แปลว่า ฉันเสียใจ
(ใช้เมื่อเรารู้สึกเสียใจ หรือต้องการขอโทษในการกระทำของเราเอง หรือเสียใจเมื่อได้ยินข่าวไม่ดีของคนอื่น) เช่น

I’m sorry that I’m late.
(แอม ซอรี่ แดท แอม เลท)
แปลว่า ขอโทษนะที่มาช้า

I’m sorry hearing that he dead.
(แอม ซอรี่ เฮียริ่ง แดท ฮี เดด)
แปลว่า ฉันเสียใจด้วยที่รู้ว่าเค้าตายแล้ว

9. คุณเอกสิทธิ์ เกี๊ยวทอดในภาษาอังกฤษเรียกว่าอย่างไร
ตอบ
- Wonton (วอน-ทอน) แปลว่าเกี๊ยว
- เกี๊ยวทอด = Fried wonton (ฟรายด์-วอน-ทอน)
- เกี๊ยวน้ำ = Wonton in soup (วอน-ทอน-อิน-ซุป)

10. คุณคะสะมะ เอกิ ถามว่า เกม โอเอ็กซ์ มีในภาษาอังกฤษหรือเปล่า ถ้ามีเรียกว่าอะไรครับ
ตอบ มีค่ะ เรียกว่า "tic tac toe" (ทิค-แทค-โท) เป็นชื่อเกม ที่มีผู้เล่น 2 คนโดยการกาเครื่องหมาย "x" และ "o" บนช่อง 9 ช่อง หากผู้เล่นใดสามารถกาของตังเองครบ 3 ช่องอาจจะเป็น 3 ช่องตามแนวนอนหรือตามแนวตั้ง หรือทแยงก็จะเป็นผู้ชนะ

11. น้องโอโม่ สับสนระหว่าง "ลองไลฟว์เดอะคิง" กับ "ลองลีฟเดอะคิง" ตกลงออกเสียงได้ว่าอย่างไรกันแน่ครับ
ตอบ “Long Live The King”อ่านได้ว่า “ลอง-ลีฟ-เดอะ-คิง” ค่ะ
- live อ่านว่า ไลฟว์ เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) แปลว่า สด ซึ่งเราจะเห็นคำนี้ทางทีวีเวลาที่เขามีการถ่ายสดรายการ
- live เขียนเหมือนกันนี่เอง อ่านว่า ลีฟ เป็นคำกริยา แปลว่า มีชีวิตอยู่ อาศัยอยู่
เช่น
I live in Bangkok.
(ไอ-ลีฟ-อิน-แบ้ง-ค้อก)
แปลว่า ฉันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ

12. คำถามสุดท้ายกับ คุณลิ-บกโช้ว
ถามว่า jet lag (เจ็ท-แลค) แปลว่าอะไรค่ะ
ตอบ jet lag แปลว่า อาการเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางโดยเครื่องบินเป็นระยะทางทางที่ไกลมากและข้ามเขตเวลาโลกทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายปรับตัวกับเวลาใหม่ไม่ทันค่ะ ดังนั้นเวลาเราเดินทางไปไหนไกลๆด้วยเครื่องบินแล้วอาจจะมีอาการต่างๆ เช่น ร่างกายสลับกลางวันเป็นกลางคืน เวียนหัว นอนไม่หลับ โดยรวมแล้วเราเรียกว่า Jet lag ค่ะ

และทั้งหมดนั้นก็เป็นคำถามที่น่าสนใจประจำเดือนพฤศจิกายนค่ะทิ้งท้ายไว้สักนิด..
การเรียนภาษาอังกฤษอาจจะยาก อาจจะมีวันที่ท้อถอย ดังนั้นการให้กำลังใจกับตัวเองถือเป็นส่วนที่สำคัญ มั่นฝึกฝน จดจำและนำไปใช้บ่อยๆเพื่อให้เกิดความเคยชิน มองหาบทเรียนที่สนุกๆ เหมาะกับการเรียนรู้ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง การอ่านข่าว การฟังบทสนทนา รวมถึงหมั่นตั้งคำถามเกี่ยวกับรอบตัวเรา หรือจะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ล้วนเป็นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษทั้งนั้น ลองดูนะคะ หาวิธีการแนวทางที่ชอบแล้วจะพบว่า English, it’s easy. ค่ะ

คิดอยู่นาน..

หลังจากการเปิดคอร์สเรียนฟรี...ไม่ประสบความสำเร็จ
ก็คิดว่าจะทำไงให้คนรอบข้างได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษกันบ้าง
อยากให้รู้สึกว่ามันไม่ยาก...แต่ก็ยอมรับว่ามันไม่ง่าย
เอาน่า! ลองฝึกดูก่อน คนอื่นยังทำได้แล้วทำไมเราจะไม่ได้ล่ะ

การเขียนคอลัมน์ English, It's easy! ก็เลยบังเกิด
จริงๆ เนื้องานประจำที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องไรกันเลยนะ
เรียกได้ว่าทำเพื่อสนองตัณหาตัวเองล้วนๆ
อยากให้คนอื่นรู้เหมือนกันมั้งว่า มันมีวิธีการที่เรียนแบบสนุกๆ
ที่ไม่ต้องไปจดจำอะไรให้มากมาย
เพียงแค่เราสังเกตรอบตัวเราให้มากขึ้น มันอยู่รอบๆตัวเรานี่แหละ
มั่นตั้งคำถาม เรียนรู้ จดจำ แล้วนำไปใช้ เท่านี้เอง

พอเริ่มเขียน ก็ไม่รู้จะให้ใครอ่าน
เริ่มจากคนรอบตัว ให้พี่ชายเป็นบรรณาธิการกิตติมศักดิ์
ประเดิมอ่านและคอมเม้นท์คนแรก
จริงๆแล้วบังคับให้มันอ่านน่ะ แต่มันเม้นท์ได้ใจจริงๆ
ต่อมาเริ่มส่งเมล์ให้คนสนิทที่รู้จัก ที่คิดแล้วว่าไม่ลบเมล์กรูแน่ๆ
แต่ก็ไม่รู้ว่าอ่านมั้ยยังไง
จากนั้นก็เพื่อรายชื่อเพื่อนๆส่งไปให้ทุกสัปดาห์

แล้วก็ได้ฟีดแบ็คที่ดีกลับมา แม้จะไม่มากมาย
แต่ก็ทำให้มีกำลังใจเขียนต่อ (จริงๆนะ)
แถมกรุณาฟอร์เวิร์ดต่อไปให้คนอื่นๆอีก...ช่างมีน้ำใจ

ฉันไม่ได้หวังอะไร ไม่ได้อยากดัง ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองเก่งมากมาย
หรือสามารถตอบได้ทุกคำถาม
ฉันเป็น คนไทย ที่ภูมิใจในความเป็นไทย
มีภาษาไทยเป็นภาษาแม่
และที่สำคัญ ไม่เคยไปเมืองนอก ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก
เพราะฉะนั้นถ้าจะเอามาอ้าง...ว่าเรียนแล้วไม่ได้เรื่อง
...เหตุผลนี้เก็บลงรูได้แล้ว

อ่ะเอาเป็นว่าอยากให้มีคนอ่านมากๆๆ
ก็คิดอยู่นานว่าจะทำไงให้คนอื่นๆได้อ่านงานของฉัน
เพื่อนคนนึงก็บอกว่า ไปโพสไว้ในเว็บฟรีซิเธอ

จริงๆ บล็อกอันนี้ก็มีมาได้สักพักแล้ว
แต่มันก็รู้สึกนิดนึงไงว่า เฮ้ย! จะมีใครก็ไม่รู้มาอ่านนะเว้ย
เส้นความเป็นส่วนตัวก็ชัดเจนขึ้นมาทันที
คนชิดใกล้จะรู้ว่ามันชัดเจนแค่ไหน...ว่ามั้ย

แต่ด้วยความขี้เกียจของตัวเองที่จะไปสร้างบล็อกอันใหม่
ก็เลยต้องทำใจ...

ก็อยากบอกให้คนอ่านทำใจไว้ด้วย
เพื่อว่าอ่านไรแล้วเกิดแสลงขึ้นมา
เพราะที่นี่อาจเป็นอีกหนึ่งตัวตนที่เราไม่รู้จักกันก็ได้

English, It's easy!--6--

English, It's easy!--6--
Nov 3, 2007

~~~We The King~~~
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันกับ English, It's easy! เป็นครั้งที่ 6 แล้วนะคะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ได้กลับไปทบทวนกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย มั่นเรียนรู้ จดจำ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา สร้างความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ และก็จะพบว่า English, It's easy! ค่ะ

สำหรับสัปดาห์นี้... เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์อันเป็นมงคลสำหรับคนไทยทุกคน ดังนั้นเราจะมาเรียนรู้คำศัพท์และราชาศัพท์ที่น่าสนใจในเหตุการณ์สำคัญนี้กันนะคะ

เนื่องจากวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ที่กำลังจะมาถึงซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในปีนี้ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา และได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่องานว่า "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" หรือภาษาอังกฤษ เรียกว่า 80th Birthday Anniversary (เอททิส์ เบิร์ธเดย์ แอนนิเวอร์ซารี่)

ทั้งหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งพสกนิกรชาวไทยต่างร่วมใจ กันจัดกิจกรรม ต่างๆ เพื่อถวายเป็นราชสักการะ และร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลครั้งนี้ทั่วประเทศ คำว่า ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคง คือ Celebration on the Auspicious Occasion of His Majesty the King (เซเลอเบรทชั่น ออน ดิ ออส-ปิ้ก-เชียส อ็อกเคชั่น ออฟ ฮีสมาเจสตี้ เดอะคิง)

จากพระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชสมภพในวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ปีเถาะ
His Majesty Bhumibol Adulyadej was born on Monday, December 5, 1927 in the rabbit year.

(ฮีสมาเจสตี้ เดอะคิง วอส บอร์น ออน มันเดย์ ดีเซ็มเบอะ ฟิฟ นายน์ทีน ทเวนทิเซ่เว่น)

เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศํกราช ๒๔๘๙
คำว่าครองราชย์สมบัติ ใช้คำว่า Accession to the Throne (แอคเซสชั่น ทู เดอะ โธรน)

และเป็นที่รู้จักของต่างชาติในนามของ รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี
คำว่ารัชกาลที่ 9 คือ Rama IX อ่านว่า รามา เดอะ ไนธ์
ราชวงศ์จักรี คือ Chakri Dynasty อ่านว่า จักรี ไดแนสตี้

เรามักจะเห็นตัวย่อ HM หรือ H.M. นั่นหมายถึงพระยศของกษัตริย์หรือพระราชินิค่ะพระมหากษัตริย์ และ พระราชินี ใช้ว่า His/Her Majesty the King/Queen (ตัวย่อ คือ HM King/Queen)ในบางครั้งก็จะเขียนตัวย่อได้อีกแบบ คือ HRM ซึ่งย่อมาจาก His/Her Royal Majesty (ฮีส/เฮอ รอยัล มาเจสตี้)

ส่วนเชื้อพระวงศ์จะใช้ดังนี้
เจ้าฟ้า ใช้ว่า His /Her Royal Highness Prince/Princess (ตัวย่อ คือ HRH Prince/Princess)

พระองค์เจ้า ใช้ว่า His /Her Highness Prince/Princess(ตัวย่อ คือ HH Prince/Princess)

หม่อมเจ้า ใช้ว่า His /Her Serene Prince/Princess (ตัวย่อ คือ HSH Prince/Princess)

ส่วน มรว. และ มล. ใช้ทับศัพท์ภาษาไทยเลยค่ะ

ต่อมาวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร
คำว่า พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ใช้คำว่า Marriage (มาริเอจ)เหมือนทั่วไปค่ะ แต่คำว่า คู่สมรส จะไม่ใช้ว่า Spouse (สะเป๊าส์) มักใช้คำว่า Consort (คอนสอร์ท) แทนค่ะ

วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ราชาภิเษก ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Coronation (คารอเนชั่น)
และวันฉัตรมงคล ก็ใช้คำว่า Coronation Day (คารอเนชั่น เดย์) ถือเป็นวันหยุดนขัตฤกษ์ หรือ Public Holiday (พลับบลิค ฮอลิเดย์)

และในวันเดียวกันนี้ ทรงพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
He would "reign with righteousness for the benefit and happiness of the Siamese people"

(ฮี วูด เรน วิธ ไรท์เชียสเนส ฟอร์ เดอะ เบเนฟิต แอนด์ แฮปปี้เนส ออฟ เดอะ ไซแอมมีส พีเพิ้ล)

ในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดถึง 60 ปี ชื่องานนี้ก็คือCelebration of 60th Anniversary of Accession to the Throne
(เซเลอเบรชั่น ออฟ ซิกซ์ตี้ธ์ แอนนิเวอร์ซารี่ แอคเซสชั่น ทู เดอะ โธรน)
ซึ่งได้มีการเฉลิมฉลองไปเมื่อปีที่แล้วค่ะ

และด้วยพระปรีชาสามารถในศาสตร์ต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระมหากรุณาธิคุณก่อให้เกิดโครงการในพระราชดำริมากมาย
โครงการในพระราชดำริ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Royal Project (รอยัล โพรเจ็ค)

และที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ โครงการฝนหลวง โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน และที่ไม่รู้จักไม่ได้เลยคือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงภาษาอังกฤษใช้คำว่า Philosophy of the Sufficiency Economy (ฟิลลอสซอฟี้ ออฟ เดอะ ซัฟฟิเชี่ยนซี่ อิก-คอ-นอ-มิ)
โดยอิงความพอเพียงของตัวเราเองเป็นหลัก ความพอเพียง คือ Self-Sufficiency (เซลฟ์ ซัฟฟิเชี่ยนซี่)
ส่วนคำว่าพระมหากรุณาธิคุณ ใช้คำว่า Benevolence ออกเสียงว่า เบ-เนฟ-วอ-แลนซ์

และในโอกาสนี้ได้มีการจัดทำตราสัญลักษณ์ขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน
ตราสัญลักษณ์ ใช้คำว่า Emblem ออกเสียงว่า เอ็ม-บลัม ค่ะ

และประโยคสุดฮิพในโอการนี้ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ
Long Live The King
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
(ถ้าใครออกเสียงไม่ถูก...แอบโกรธจริงๆนะ)
แต่ถ้าออกเสียงไม่ถูกจริงๆ
สามารถดูได้ที่ English, It's easy!--5--

นอกจากนั้นในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปียังมีความสำคัญ คือ เป็นวันพ่อแห่งชาติด้วยค่ะ
Father's day (ฟาเธอร์ เดย์) คือวันพ่อค่ะ ไม่มีใครรักพ่อเราเท่าเรา และไม่มีใครรักเราเท่าพ่อเราหรอกนะคะ เพราะฉะนั้นในวันพ่อปีนี้ก็อย่าลืมที่จะบอกรักพ่อ พาพ่อไปทานข้าว หรือทำการ์ดให้ แค่นี้คุณพ่อก็ตัวลอยแล้วค่ะ

สำหรับวันนี้เราได้เรียนรู้คำศัพท์และราชาศัพท์ไปไม่มากก็น้อยนะคะ หวังว่าจะเป็นความรู้และก่อประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ

สำหรับสัปดาห์นี้ของดออกอากาศเสียงตามสายนะค่ะ
จะไปรับลมหนาวค่ะ ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นจะกลับมาเล่าให้ฟังในสัปดาห์หน้าค่ะ

ขอแจ้งข่าวให้ทราบว่า
♥ English, It’s easy! เปลี่ยนวันใหม่เป็น ทุกวันพุธค่ะ
♥ Friday English ได้ทุกวันศุกร์ทางเสียงตามสาย (สัปดาห์นี้งด)
♥ ฟังเสียงตามสายย้อนหลังได้ที่ P:\Supattra\เสียงตามสาย
♥ สามารถอ่าน English, It's easy! ย้อนหลังได้ที่ http://zaysie.blogspot.com/

ขอบคุณท่านผู้อ่านและผู้ฟังที่ติดตามและให้ข้อคิดเห็นต่างๆ และคำชี้แนะของท่านนั้นเราจะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ หากมีข้อสงสัยหรือติชมประการใด ให้คอมเม้นท์ไว้ได้เลยค่ะ เราจะนำทุกคำถามที่น่าสนใจจากท่านผู้อ่านมาตอบในวันศุกร์สุดท้ายของเดือน วันนี้ขอลาไปก่อนแล้ว เพราะยังไม่ได้เก็บกระเป๋าเลยค่ะ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า See you next time. Wish you all have a lovely time on Father's day.
สวัสดีค่ะ

Thursday, November 1, 2007

รักคุณเข้า..อีกแล้ว

credits: Love Is

เนื้อเพลง รักคุณเข้าอีกแล้ว

โดย บอย โกสิยพงษ์ feat. ป๊อด โมเดิร์นด๊อก

เก็บเพลงรักนี้ ไว้ให้เธอ เมื่อวันใดที่เจอะเจอ
ฉันก็พร้อมและยินยอมมอบความรัก และจิตใจ
ชั่วนิรันดร์ (ชั่วนิรันดร์)

มีเพลงเพลงนึงที่เคยร้องให้เธอฟัง
แต่ไม่รู้ว่ายังจำได้หรือเปล่า
วันและเวลาอาจจะหมุนและเวียนไป
แต่ใจความในเพลงนั้นของเรา

ก็ยังคงเฝ้าย้ำพูดถึง ความรักที่ลึกซึ้ง
และยังคงตรึงในหัวใจนานแค่ใหน ก็เหมือนเก่า
เหมือนวันแรกที่เรา เจอะกัน

เก็บเพลงรักนี้ให้เป็นของขวัญ
ให้เธอได้รับได้รู้หัวใจของฉัน
แม้คืนวันจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน
แต่ใจของฉันที่รักเธอนั้น
ต่อให้ต้องลงนรกหรือขึ้นสรวงสวรรค์
ฉันก็จะไม่มีวันมอบให้ใคร
จะมีเพียงเธอแค่เพียงคนเดียว
และจะมีแต่เธอ เธอแค่เพียงคนเดียว
และจะเป็นเพียงคนเดียวเสมอไป
ที่ฉันฝากชีวิต ทั้งหมดไว้
โดยไม่มีวันทวงกลับคืน

กาลและเวลาที่เปลี่ยนหมุนและเวียนไป
อาจจะทำให้หัวใจใครหมุนตาม
แต่ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนหมุนไปยังไง
ใจความในเพลงนั้นของเรา
...

ฉันขอใช้ช่วงเวลาทั้งชีวิตที่ฉันมี
ฉันขอใช้ไปกับเธอ กับเธอ เธอคนนี้

...

ฉันขอมอบชีวิตทั้งหมดไว้
ฝากให้กับเธอเพียงผู้เดียว

...

Monday, October 29, 2007

อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น

พระราชดำรัสในหลวง “ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น”

>> อิ่มเดียว หลับเดียว
>> ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา
>> ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครอง ราชย์ใหม่ๆ
>> ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น (กางเกงขาสั้น) ในยามดึก
>> เวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับ ต่างทำหน้าที่กัน
>> ตามจุดต่างๆ ไม่มีบกพร่อง ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา
>> ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน
>> เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัย
>> แด่องค์พระประมุขของชาติ
>> จอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร
>> แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี
>> ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก
>> ใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา

>> ทรงพระราชดำเนินไปรเวท (เดินเล่น) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ
>> แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวร ประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า

>> ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี
>> แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี...
>> ตอนนั้น ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า

>> ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต
>> ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า

>> จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า“ชีวิตมนุษย์เรานี่อิ่มเดียวหลับเดียวเท่านั้น”

>>ทรงเสด็จพระราช ดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์

>> ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร

>> จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้าน
>> อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา

>> จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า“ท่านมหาขอรับ

>> คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่า อย่างไรขอรับ”

>> ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า
>> “โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ” ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ

>> ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า…..

>> โยมเฉลิมศักดิ์คำนี้น่ะ

>> ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อ

>> เข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์

>> ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ ชีวิตเป็นสุข
>> ให้รู้จักคำว่าพอ เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน

>> พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน
>> จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้น มนุษย์เรา
>> นั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีก

>> นอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยาก ได้ให้มันมากขึ้นไปอีก

>> ถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียว โลกก็จะเป็นสุข

>> ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว

>> คนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุก น้ำปลา หรือกินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น

>> กินเข้าไปไม่ได้แล้ว จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ

>> นอนในสลัมหรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น
>> เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน
>> ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ

ที่มา:http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8704

ถือ (ก็) หนัก วาง (ก็) เบา

เคยมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ
ทว่า ครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา

พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น
ก็ขอสรุปเช่นนั้นก็ขอสรุปว่า
ใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า

“สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ
ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น”
ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น

เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์

ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด

ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์น้อย

ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์

ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “ความปล่อยวาง”

ทำไมจึงต้องปล่อยวาง

เพราะทุกอย่าง “มีความว่าง” มาแต่เดิม

คนที่หลงกอด “ความว่าง”
โดยคิดว่าเป็น “ความมี” ทำไมจะไม่ทุกข์ ?

พระบวชใหม่รูปหนึ่ง
เดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ

ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณ
เพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั้นเอง
จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งใส่สูท
ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำเดินเข้ามาหาท่าน
พร้อมทั้งชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย

พระรูปตกตะลึง รีบเดินหนี

แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว
แต่เสียงด่าของเขายังคงก้อง
อยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เมื่อกลับถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์
ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน
พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตน
ซึ่งเป็นพระและตนเองก็จำได้ว่า
ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด

คิดมาถึงขั้นว่า ตนไม่ผิด
แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น
วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์
แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ

เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตร
เดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม
ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม
ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่อง
ว่าเหตุจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พอ
ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป
จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด

ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน
พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่งสวมสูท ผูกเทคไท
ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า
“อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์”

ภาพที่เห็นก็คือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น
นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่ง
ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่
พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ
เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
พอเห็นท่านเท่านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า

“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นกล้าฯ บัดนี้
พระองค์ทรงกลับมาครองอยุธยาอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ...”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกำเฉิบๆ

พลันที่ท่านประเมินว่าชายแต่งตัวดี
คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
เป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้นเอง

ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน
อยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวัน
ก็พลันอันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย

ทำไม
เราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน ?
แต่กับคนปกติ
ทำไม เราจึงมีความรู้สึกว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด ?

ที่มา: http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8704

หลักการทำสมาธิเบื้องต้น

จิตของคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยทำสมาธินั้น ก็มักจะมีสภาพเหมือนม้าป่าพยศที่ยังไม่เคยถูกจับมาฝึกให้เชื่อง มีการซัดส่ายไปในทิศทางต่างๆ อยู่เป็นประจำ การทำสมาธินั้นก็เหมือนการจับม้าป่านั้นมาล่ามเชือก หรือใส่ไว้ในคอกเล็กๆ ไม่ยอมให้มีอิสระตามความเคยชิน เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ม้านั้นก็ย่อมจะแสดงอาการพยศออกมา มีอาการดิ้นรน กวัดแกว่ง ไม่สามารถอยู่อย่างนิ่งสงบได้ ถ้ายิ่งพยายามบังคับ ควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดิ้นรนมากขึ้นเท่านั้น

การจะฝึกม้าป่าให้เชื่องโดยไม่เหนื่อยมากนั้นต้องใจเย็นๆ โดยเริ่มจากการใส่ไว้ในคอกใหญ่ๆ แล้วปล่อยให้เคยชินกับคอกขนาดนั้นก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ลดขนาดของคอกลงเรื่อยๆ ม้านั้นก็จะเชื่องขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่แสดงอาการพยศอย่างรุนแรงเหมือนการพยายามบีบบังคับอย่างรีบร้อน เมื่อม้าเชื่องมากพอแล้ว ก็จะสามารถใส่บังเหียนแล้วนำไปฝึกได้โดยง่าย

การฝึกจิตก็เช่นกัน ถ้าใจร้อนคิดจะให้เกิดสมาธิอย่างรวดเร็วทั้งที่จิตยังไม่เชื่อง จิตจะดิ้นรนมาก และเมื่อพยายามบีบจิตให้นิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ จิตจะยิ่งเกิดอาการเกร็งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงความกระด้างของจิตที่เพิ่มขึ้น (จิตที่เกร็งจะเป็นจิตที่กระด้าง ซึ่งต่างจากจิตที่ผ่อนคลายจะเป็นจิตที่ประณีตกว่า) แล้วยังจะทำให้เหนื่อยอีกด้วย ถึงแม้บางครั้งอาจจะบังคับจิตไม่ให้ซัดส่ายได้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจิตมีอาการสั่น กระเพื่อมอยู่ภายใน

เหมือนการหัดขี่จักรยานใหม่ๆ ถึงแม้จะเริ่มทรงตัวได้แล้ว แต่ก็ขี่ไปด้วยอาการเกร็ง การขี่ในขณะนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว การทรงตัวก็ยังไม่นิ่มนวลราบเรียบอีกด้วย ซึ่งจะต่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับการขับขี่ของคนที่ชำนาญแล้ว ที่จะสามารถขี่ไปได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างสบายๆ ราบเรียบ นุ่มนวล ไม่มีอาการสั่นเกร็ง

หลักทั่วไปในการทำสมาธินั้น พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1.) หาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำสมาธิให้มากที่สุดก่อนที่จะทำสมาธิ เพื่อจะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องลองผิดลองถูก และไม่หลงทาง ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ หรือเข้าใจผิด นอกจากนี้ยังป้องกันความฟุ้งซ่านที่อาจจะเกิดขึ้นจากความลังเลสงสัยอีกด้วย

2.) เลือกวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด แล้วลองทำไปสักระยะหนึ่งก่อน ถ้าทำแล้วสมาธิเกิดได้ยากก็ลองวิธีอื่นๆ ดูบ้าง เพราะจิตและลักษณะนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีที่เหมาะสมของแต่ละคนจึงต่างกันไป บางคนอาจจะเหมาะกับการตามดูลมหายใจ ซึ่งอาจจะใช้คำบริกรรมว่าพุทธ-โธ หรือ เข้า/ออก ประกอบ บางคนอาจจะเหมาะกับการแผ่เมตตา บางคนถนัดการเพ่งกสิณ เช่นเพ่งวงกลมสีขาว ฯลฯ

ซึ่งวิธีการทำสมาธินั้นมีมากถึง 40 ชนิด เพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละประเภท แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด ก็คืออานาปานสติ คือการตามสังเกต ตามรู้ลมหายใจเข้าออกนั่นเอง (ดูรายละเอียดได้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ในหัวข้อวิธีแก้ไขนิวรณ์ 5/อุทธัจจกุกกุจจะ และในเรื่องอานาปานสติสูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ) เพราะทำได้ในทุกที่ โดยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ใดๆ เลย ทำแล้วจิตใจเย็นสบาย ไม่เครียด

3.) อยู่ใกล้ผู้รู้ หรือรีบหาคนปรึกษาทันทีที่สงสัย เพื่อไม่ให้ความสงสัยมาทำให้จิตฟุ้งซ่าน

4.) พยายามตัดความกังวลทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นออกไปให้มากที่สุด โดยการทำงานทุกอย่างที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะทำสมาธิ หรือถ้าทำสมาธิไปแล้ว เกิดความกังวลถึงการงานใดขึ้นมา ก็ให้บอกกับตัวเองว่าตอนนี้เป็นเวลาทำสมาธิ ยังไม่ถึงเวลาทำงานอย่างอื่น เอาไว้ทำสมาธิเสร็จแล้วถึงไปทำงานเหล่านั้นก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ถ้าแก้ความกังวลไม่หายจริงๆ ก็หยุดทำสมาธิแล้วรีบไปจัดการเรื่องนั้นๆ ให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ ถ้าคิดว่าขืนนั่งต่อไปก็เสียเวลาเปล่า เมื่องานนั้นเสร็จแล้วก็รีบกลับมาทำสมาธิใหม่

5.) ก่อนนั่งสมาธิถ้าอาบน้ำได้ก็ควรอาบน้ำก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อนจะทำให้โล่งสบายตัว เมื่อกายสงบระงับ จิตก็จะสงบระงับได้ง่ายขึ้น

6.) ควรทำสมาธิในที่ที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ไม่พลุกพล่านจอแจ

7.) ก่อนนั่งสมาธิควรเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมาช้าๆ โดยยึดจิตไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งในเท้า ข้างที่กำลังเคลื่อนไหว เช่น ปลายเท้า หรือส้นเท้า โดยควรมีคำบริกรรมประกอบ เช่น ขวา/ซ้าย ฯลฯ) หรือสวดมนต์ก่อน เพื่อให้จิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่งก่อน จะทำให้นั่งสมาธิได้ง่ายขึ้น

8.) การนั่งสมาธินั้นควรนั่งในท่าขัดสมาธิ หลังตรง (ไม่นั่งพิงเพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย) หรือถ้าร่างกายไม่อำนวย ก็อาจจะนั่งบนเก้าอี้ก็ได้ นั่งบนพื้นที่อ่อนนุ่มตามสมควร ทอดตาลงต่ำ ทำกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง (เพราะการเกร็งจะทำให้ปวดเมื่อย และจะทำให้จิตเกร็งตามไปด้วย) นั่งให้ร่างกายอยู่ในท่าที่สมดุล มั่นคง ไม่โยกโคลงได้ง่าย มือทั้ง 2 ข้างประสานกัน ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะกันเบาๆ วางไว้บนหน้าตัก หลับตาลงช้าๆ หลังจากนั้นส่งจิตไปสำรวจตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ทั่วทั้งตัว เพื่อดูว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดที่เกร็งอยู่หรือไม่ ถ้าพบก็ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้หายเกร็ง โดยไล่จากปลายเท้าทีละข้าง ค่อยๆ สำรวจเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงสะโพก แล้วย้ายไปสำรวจที่ปลายเท้าอีกข้างหนึ่ง ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นก็สำรวจจากสะโพก ไล่ขึ้นไปจนถึงยอดอก แล้วสำรวจจากปลายนิ้วมือทีละข้าง ไล่มาจนถึงไหล่ เมื่อทำครบสองข้างแล้ว ก็สำรวจไล่จากยอดอกขึ้นไปจนถึงปลายเส้นผม ก็จะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั่วร่างกาย จากนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ สัก 3 รอบ โดยมีสติอยู่ที่ลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก พร้อมกับทำจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มทำสมาธิตามวิธีที่เลือกเอาไว้

9.) อย่าตั้งใจมากเกินไป อย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่าวันนั้นวันนี้จะต้องได้ขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะจะทำให้เคร่งเครียด จิตจะหยาบกระด้าง และจิตจะไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมัวแต่ไปจดจ่ออยู่กับผลสำเร็จซึ่งยังไม่เกิดขึ้น จิตจะพุ่งไปที่อนาคต เมื่อจิตไม่อยู่ที่ปัจจุบันสมาธิก็ไม่เกิดขึ้น

ให้ทำใจให้สบายๆ ผ่อนคลาย คิดว่าได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วค่อยๆ รวมจิตเข้ามาที่จุดที่ใช้ยึดจิตนั้น (เช่นลมหายใจ และคำบริกรรม) แล้วคอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้น (เช่น ความหยาบ/ละเอียด ความยาว ความลึก ความเย็น/ร้อน ของลมหายใจ) จิตก็จะอยู่ที่ปัจจุบัน แล้วสมาธิก็จะตามมาเอง ถ้าฟุ้งซ่านไปบ้างก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของจิต อย่ากังวล อย่าอารมณ์เสีย (จะทำให้จิตหยาบขึ้น) เพราะคนอื่นๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น เมื่อรู้ตัวว่าฟุ้งออกไปแล้ว ก็ใจเย็นๆ กลับมาเริ่มทำสมาธิใหม่ แล้วจะดีขึ้นเรื่อยๆ เอง

10.) ใหม่ๆ ควรนั่งแต่น้อยก่อน เช่น 5 - 15 นาที แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40, ... นาที ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อยๆ ปรับตัว เมื่อนั่งไปแล้วหากรู้สึกปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงจะขยับ เพราะทุกครั้งที่มีการขยับตัวจะทำให้จิตกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้ และโดยปรกติแล้วถ้าทนไปได้ถึงจุดหนึ่ง เมื่ออาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง และมักจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นอาการของปิติที่เกิดจากสมาธิ

11.) การทำสมาธินั้น เมื่อใช้สิ่งไหนเป็นเครื่องยึดจิต ก็ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเราทั้งหมดไปรวมเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ อยู่ที่จุดยึดจิตนั้น เช่น ถ้าใช้ลมหายใจ (อานาปานสติ) ก็ทำความรู้สึกว่าตัวเราทั้งหมดย่อส่วนเป็นตัวเล็กๆ ไปนั่งอยู่ที่จุดที่รู้สึกว่าลมกระทบอย่างชัดเจนที่สุด เช่นปลายรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือริมฝีปากบน เป็นต้น ให้ทำความรู้สึกที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว ไม่ต้องเลื่อนตามลมหายใจ เหมือนเวลาเลื่อยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จุดที่เลื่อยสัมผัสกับไม้เพียงจุดเดียว ไม่ต้องมองตามใบเลื่อย ก็จะรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังเลื่อยเข้าหรือเลื่อยออก เมื่อจิตอยู่ที่จุดลมกระทบเพียงจุดเดียว ก็จะรู้ทิศทาง และลักษณะของลมได้เช่นกัน

12.) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล เพราะทั้งหมดเป็นเพียงอาการของจิต พยายามตั้งสติเอาไว้ให้มั่นคง ตราบใดที่ไม่กลัว ไม่ตกใจ ไม่ขาดสติ ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ทำใจให้เป็นปรกติ แล้วคอยสังเกตสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถ้าเห็นภาพที่น่ากลัวปรากฏขึ้นมา หรือรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวใดๆ ก็ตาม ให้แผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น แล้วคิดว่าอย่าได้มารบกวนการปฏิบัติของเราเลย ถ้าไม่หายกลัวก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วพยายามอย่าใส่ใจถึงสิ่งที่น่ากลัวนั้นอีก ถ้าแก้ไม่หายจริงๆ ก็ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาวๆ แล้วค่อยๆ ถอนจากสมาธิออกมา เมื่อใจเป็นปรกติแล้วถึงจะทำสมาธิใหม่อีกครั้ง สำหรับคนที่ตกใจง่าย ก็อาจนั่งสมาธิหน้าพระพุทธรูป หรือนั่งโดยมีเพื่อนอยู่ด้วย ก่อนนั่งก็ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง

13.) ถ้าจิตไม่สงบ ก็ลองแก้ไขตามวิธีที่ได้อธิบายเอาไว้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ซึ่งได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว

14.) เมื่อจะออกจากสมาธิ ควรแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายก่อน โดยการระลึกถึงความปรารถนาให้ผู้อื่น และสัตว์ทั้งหลายมีความสุขด้วยใจจริง จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้น ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (ระลึกให้ด้วยใจ) แล้วหายใจยาวๆ ลึกๆ สัก 3 รอบ พร้อมกับค่อยๆ ถอนความรู้สึกจากสมาธิช้าๆ เสร็จแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น บิดเนื้อบิดตัวคลายความปวดเมื่อย แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

15.) เมื่อตั้งใจจะทำสมาธิให้จริงจัง ควรงดเว้นจากการพูดคุยให้มากที่สุด เว้นแต่เพื่อให้คลายความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจ เพราะการคุยกันนั้นจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน คือในขณะคุยกันก็มีโอกาสทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ ทำให้จิตหยาบกระด้างขึ้น และเมื่อทำสมาธิก็จะเก็บมาคิด ทำให้ทำสมาธิได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการคุยกับคนที่สมาธิน้อยกว่าเรา นอกจากนี้ ควรเว้นจากการร้องรำทำเพลง การฟังเพลง รวมถึงการดูการละเล่นทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มกามฉันทะ ซึ่งเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่ง (ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) อันเป็นอุปสรรคต่อการทำสมาธิ

ที่มา: http://www.dhammathai.org/treatment/concentration/concentrate02.php

20 ม้วน..

ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่
ให้สะใภ้..ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ
มิหลงใหล..ใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ
ดูน้ำใส และปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้
มิใช่อยู่ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว
หูตามัว มาใกล้เคียง
เล่าท่อง อย่าละเลี่ยง
ยี่สิบ(ไม้)ม้วน..จำจงดี

*นับได้ 20 หรือเปล่าเนี่ย*
T_T

กาพย์เห่ชมเครื่องหวาน

๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที สมรแม่ มาแม่
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม เพียบแอ้อกอร ๚

สังขยาหน้าตั้งไข่
ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสลง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง
แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ

ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ
แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ
ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย

ลำเจียกชื่อขนม
นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย
โหยไห้หาบุหงางาม

มัศกอดกอดอย่างไร
น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ
ขนมนามนี้ยังแคลง

ลุดตี่นี้น่าชม
แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง
แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย

ขนมจีบเจ้าจีบห่อ
งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย
ชายพกจีบกลีบแนบเนียน

๏ รสรักยักลำนำ
ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน
เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม

ทองหยิบทิพย์เทียมทัด
สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม
ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ

ขนมผิงผิงผ่าวร้อน
เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล
เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง

รังไรโรงด้วยแป้ง
เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง
ยังยินดีด้วยมีรัง

ทองหยอดทอดสนิท
ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง
แต่ลำพังสองต่อสอง

๏ งามจริงจ่ามงกุฎ
ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง
สะอิ้งน้องนั้นเคยยล

บัวลอยเล่ห์บัวงาม
คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล
สถนนุชดุจประทุม

ช่อม่วงเหมาะมีรส
หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม
หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน

ฝอยทองเป็นยองใย
เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์
เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚

กาพย์เห่ชมเครื่องคาว

๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์ พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกให้หวนแสวง ๚

มัสมั่นแกงแก้วตา
หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง
แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา

ยำใหญ่ใส่สารพัด
วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา
ยี่สุ่นล้ำย้ำยวนใจ

ตับเหล็กลวกล่อนต้ม
เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน
ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง

หมูแนมแหลมเลิศรส
พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง
ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น
วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย
ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ

เทโพพื้นเนื้อท้อง
เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน
ของสวรรค์เสวยรมย์

๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า
ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม
ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น

ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ
รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น
เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ

๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม
แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ
ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม

๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด
ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม
สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์

ล่าเตียงคิดเตียงน้อง
นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล
ยลอยากนิทรคิดแนบนอน

๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า
รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์
ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง

รังนกนึ่งน่าซด
โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง
เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน

ไตปลาเสแสร้งว่า
ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ
ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ

ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง
เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน
ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

" ความแตกต่างระหว่างสติกับสมาธิ "

เนื่องจากสติเป็นธรรมเครื่องรักษาจิตและสติจำเป็นในทุกกรณีดังนั้นการรู้จักเจริญสติจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการศึกษาพุทธธรรม
คำถามแรกที่มักจะถามกันคือสติกับสมาธิต่างกัน
อย่างไร?
สาเหตุของการตั้งคำถามนั้นเกิดจากว่าจิตจะกำหนดอารมณ์ได้นั้นต้องใช้สติและต้องใช้สมาธิจนทำให้แยกจากกันแทบไม่ออก
เพื่อความเข้าใจของความต่างกันระหว่างสติกับสมาธิจึงต้องยกอุปมาดังต่อไปนี้
ถ้าอุปมาจิตเหมือนลูกวัวที่พึ่งอย่านมจากแม่แล้วผูกลูกวัวไว้กับหลักเชือกที่ผูกคือสติอารมณ์ที่ให้จิตกำหนด(ในที่นี้ขอใช้ลมหายใจ)คือหลัก
ในตอนแรกที่ผูกนั้นลูกวัวจะดิ้นรนเต็มที่เพื่อจะไปกินนมแม่เปรียบเหมือนจิตที่คุ้นชินกับการเสพอารมณ์ต่างๆจากภายนอกก็จะดิ้นรนเพื่อจะไปเสพย์อารมณ์ที่คุ้นเคยเชือกจะดึงลูกวัวไม่ให้ออกจากหลักเปรียบเหมือนสติที่คอยดึงจิตให้อยู่กับลมหายใจ
ไม่ให้ไปอยู่กับอารมณ์อื่นเมื่อลูกวัวดิ้นไปไหนไม่ได้นานเข้าลูกวัวก็จะหยุดดิ้นและหมอบลงอยู่ที่หลัก
นั้นเองภาวะที่ลูกวัวไม่ดิ้นรนและหมอบลงอยู่ที่หลักนั้นคือสมาธิ
จากอุปมานี้จะเห็นว่าสติต่างกับสมาธิดังนี้คือ
สติมีลักษณะระลึกได้ไม่หลงลืมคือตามระลึกถึง
ลมหายใจไว้เสมอไม่ให้คลาดไปเหมือนเชือกที่ดึงลูกวัวไว้
การที่จิตไม่คลาดไปจากอารมณ์เป็นการตั้งมั่น
แบบหนึ่งของจิตท่านเปรียบอีกอย่างว่าเหมือน
เสาระเนียดที่ปักลงมั่นในอารมณ์(ระเนียดคือรั้วที่ปักเสารายตลอดไป,เสาค่าย)คือไม่ให้จิตหลุดไปกับอารมณ์ไหนสติจึงมีอรรถ(ความหมาย)ว่าไปตั้งไว้คือตั้งจิตไว้กับอารมณ์เช่นลมหายใจไม่ให้ไปไหนสติจึงมีการมุ่งหน้าต่ออารมณ์เป็นผล
ส่วนสมาธินั้นมีลักษณะไม่ซัดส่ายไปตามอารมณ์
คือนิ่งอยู่กับอารมณ์นั้นๆที่กำหนดอยู่ไม่ฟุ้งซ่านไปเหมือนการหมอบนิ่งของลูกวัวการนิ่งของจิตเป็นการตั้งมั่นแบบหนึ่งของจิตท่านเปรียบอีกอย่างว่าเหมือนเปลวเทียนที่นิ่งยามไม่ถูกลมพัดคือจิตไม่ซ่านไปไหนสมาธิจึงมีอรรถว่าให้ยึดมั่นคือตั้งไว้ซึ่งสหชาติปัจจัยทั้งหลายโดยชอบ.คือมีจิตมั่นแน่วแน่อยู่กับอารมณ์นั้นสมาธิจีงมีความไม่หวั่นไหวความสงบ
เป็นผล
เหตุใดการเจริญสติแล้วได้สมาธิ?
เพราะสมาธิเป็นกุศลธรรมที่มีลักษณะเป็นประธาน
เป็นใหญ่กุศลธรรมอื่นๆต้องโน้มไปหาอธิบายว่า
ไม่ว่าจะเจริญกุศลธรรมใดๆก็ตามผลของการเจริญนั้นต้องมีสมาธิเป็นผลด้วยเสมอ
เหตุใดการเจริญสมาธิต้องผ่านการเจริญสติ?
เพราะสติเป็นอธิบดีไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องผ่านการสั่งการจากอธิบดีก่อนจึงจะทำได้ด้วยเหตุนี้สติจึงจำเป็นในทุกกรณีการเจริญสมาธิก็เช่นกันต้องผ่านสติก่อน
การเจริญกุศลธรรมอื่นๆก็ต้องผ่านสติก่อนเหมือนกัน
เมื่อสมาธิเป็นประธานและสติเป็นอธิบดีอันเป็นตำแหน่งที่ใหญ่พอๆกันดังนั้นเวลากำหนดอารมณ์จึงต้องใช้ทั้งสติและสมาธิพร้อมๆกันจนทำให้แยกจากกันจนแทบไม่ได้การเจริญสมาธิก็เป็นการเจริญสติไปในตัวในขณะที่การเจริญสติก็เป็นการเจริญสมาธิไปในตัวเช่นกัน
สรุปคือการเอาจิตไปตั้งไม่ให้หลุดเป็นหน้าที่ของสติการที่จิตตั้งได้ไม่หลุดไปไหนเป็นหน้าที่ของสมาธิ
ความต่างกันของสติและสมาธิสามรถดูได้จากเหตุใกล้อีกทางหนึ่ง
คือสตินั้นมีความจำมั่นเป็นเหตุใกล้คือเมื่อหมายรู้อะไรบ่อยๆมากๆจนจำได้แม่นยำจำได้จนขึ้นใจสติก็จะระลึกถึงสิ่งที่ถูกหมายรู้ได้ง่ายเช่นเมื่อหมายรู้เกี่ยวกับลมหายใจบ่อยๆเช่นอ่านท่องสนทนาใคร่ครวญเกี่ยวกับพระสูตรที่แสดงความสำคัญของอานาปานสติมากๆจดจำความสำคัญของอานาปานสติได้จนขึ้นใจก็จะมีสติที่ลมหายใจได้ง่ายขึ้น
ส่วนสมาธินั้นมีความสุขเป็นเหตุใกล้คือเมื่อจิตมีสุขอยู่กับอารมณ์นั้นเช่นกับลมหายใจจิตก็ไม่ไปอยู่กับอารมณ์อื่นจิตก็นิ่งอยู่กับลมหายใจสมาธิก็เกิดขึ้น
ทั้งสติกับสมาธิเป็นธรรมที่ต้องมีปัญญากำกับอยู่เสมอคือเมื่อพูดถึงสติก็ต้องคิดถึงสัมปชัญญะด้วย
และเมื่อถึงพูดถึงสมาธิก็ต้องนึกถึงไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญาคือต้องมองว่าสมาธิเป็นหนึ่งในไตรสิกขา
ไม่ใช่มองแยกออกมาโดดๆ

ที่มา : http://www.budpage.com/budboard/show_content.pl?b=1&t=516

Friday, October 26, 2007

Who are you?

06.00 น.

ฉันอยู่ในงานแต่งงานของตัวเอง
ซึ่งดูเหมือนว่าฉันเพิ่งจะรู้จักกับเจ้าบ่าวได้ไม่นาน
และไม่ดีพอ..

ดูเหมือนการแต่งงานในครั้งนี้
เกิดขึ้นเพราะฉันกำลังหนีอะไร/ใครสักอย่าง
แล้วจำเป็นต้องมีการแต่งงาน
ก็ได้ให้ผู้ใหญ่ไปตกลงกับผู้ชายคนนึง
ซึ่งเป็นลูกชายของอา
หรือหลานชายของแม่นมฉัน..
ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเค้ามาก่อน
แต่เพราะความจำเป็น...จึงเกิดงานนี้ขึ้น

งานแต่งงานมีขึ้นที่..ไหนไม่รู้
เป็นคล้ายๆ ฮอลล์ที่ไหนสักที
ภาพที่กำลังฉายเป็นภาพความสัมพันธ์ของเรา
แขกเหรื่อก็มีเท่าที่สนิทกัน

ฉันไมได้อยู่ในชุดสีขาวฟูฟ่อง
กลับเป็นชุดลำลองและสวมเสื้อแจ็คเก็ทยีนตัวโปรด
และนั่นก็ถือเป็นชุดเจ้าสาวของฉัน..

ขณะที่ฉันกำลังต้อนรับผู้คน..
เค้ากำลังเดินเข้ามา..
หัวใจสั่นและเต้นแรง
และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน
ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่านแววตาของเค้า
และความรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ใกล้..
มันทำให้ฉันมั่นใจในตัวเค้า
และความรักแรกพบที่ก่อเกิดอยู่ชั่วขณะนั้น

ฉันลืมตาขึ้นมา..
พร้อมกับความรู้สึกที่ยังอวลอยู่รอบๆกาย

เธอเป็นใครกันนะ..
เพราะในความจริงแล้ว..
อาคนนั้นมีลูกสาวเพียงคนเดียว..

แต่ก็ไม่เสียใจนะ
เพราะวันหนึ่งเราคงได้รักกัน..
เธอเองก็คงรอที่จะพบฉัน..เหมือนที่ฉันรอเธอเช่นกัน
รักษาสุขภาพด้วยล่ะ..

Wednesday, October 24, 2007

งานหนังสือฯ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ผ่านไปแวะเยี่ยมชมงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์มา
ผู้คนล้นหลาม
น่าดีใจแทนนักเขียน...
ความจริง เป็นนักเขียนไม่น่าจะไส้แห้งอย่างที่หลายคนพยามบอกกล่าว
ก็แหม...คิดว่าหนังสือเค้าแจกฟรีกันรึไง
คนถึงเพรียบขนาดน้าน...
แทบจะมะมีรูเดินอยู่แระ
ต้องเอายาดมและผู้ติดตาม(ไปหิ้วหนังสือ)ไปด้วย
..เฮ้อ!.. นี่ช้านคงจะแก่แล้วจริงๆ
T_T

ขอความเห็นหน่อย
ไปงานหนังสือทีไรแล้วรู้สึกแปลกๆทู้กที
ตอนแรกก็มะรุว่าเป็นอะไร
แต่คราวนี้รู้แระ...
สังเกตมั้ย...ทั้งที่เป็นงานหนังสือแต่ทำม้ายทำไมเสียงดั๊งดังอ่ะ
...
น่าสลดใจ
งานนี้อ่านหนังสือมะรู้เรื่องเร้ยยย...
T_T"

เห็นแต่ละคนได้หนังสือและอื่นๆกันมาเป็นกอบเป็นกำ
ทำอย่างกับว่าจะมีงานหนังสือครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
อย่างว่าแต่ชาวบ้านเค้า..ช้านเองก็มะต่างเลย..
เบาตัวเชียว...T_T"

ร้านบางร้านก็ขายของโห้ดโหด..
บางอย่างก็แพงมากไป
อย่างโป๊ดสะการ์ด...ใบละ 20 บาท
..อะไรมันจะขนาดนั้น..
แต่ก็นะ
งานนี้นานาจิตตัง...
จิตต่าง...กระเป๋า(ตังค์)ก็ต่างด้วยเช่นกัน

อิอิ
^_^

ป.ล.งานนี้บังเอิญป๊ะกับคุณแทนไทด้วยนะ
งบกระจุยแล้ว...จำต้องพานพบไม่อาจผูกพันไปก่อน
T_T

Tuesday, October 9, 2007

รู้จักฉัน 1

-copy (อย่าforward) อีเมล์ฉบับนี้
-แปะมันลงในอีเมลใหม่
-เปลี่ยนคำตอบทั้งหมดให้เหมาะกับตัวเองซะ
-แล้วส่งไปให้กลุ่มคนกลุ่ม>ใหญ่ ๆ ที่คุณรู้จัก *รวมทั้ง* คนที่ส่งให้คุณด้วย
**เรื่องของเรื่องก็ คือคุณจะ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนคุณมากขึ้น **

>>>>>1.คำทักทายเวลาเจอเพื่อน : ฮาหลู ฮาหลู
>>>>2.คำพูดติดปากของคุณละ : เหอเหอเหอ
>>>>3.คุณทำอะไรอย่างแรกในตอน เช้า : ลืมตา
>>>>4.ถ้ามีคนบอกว่าคุณ ขี้เหร่คุณจะตอบว่าอย่างไร : อืม..ขอบคุณ
>>>>5.ถ้ามีคนชมคุณว่าคุณหน้าตาดี คุณจะตอบว่าไง : ก็ขอบคุณอีกอ่ะ
>>>>6.มีแฟนคนแรกตอนอายุกี่ขวบ : จำไม่ได้แล้วอ่ะ
>>>>7.ถ้าให้ไปเที่ยวคุณอยากไปเที่ยวที่ไหน : คอสตาริก้า
>>>>8.ทำไมล่ะ : เหมือนมีอะไร//ใครรออยู่
>>>>9.ใคร : นั่นสิใคร
>>>>10.สิ่งไหนที่คุณทำ แล้วคิดว่ายาก และท้อที่สุด : ไม่มี ไม่รู้สึกอ่ะ
>>>>11.เพื่อนที่สนิทที่ สุด : ไม่เอาคำว่า *สนิท* มากดดันเพื่อน
>>>>12.เพื่อนในอินเตอร์เน็ตที่สนิทที่สุด>>: อ่านข้อ 11 ใหม่ได้มะ
>>>>13.คุณฟังเพลง อะไรอยู่ตอนนี้ : AYO Technology
>>>>14.คนร้องเพลงที่ว่าเป็นใคร : 50 Cent
>>>>15.เพลงอะไรที่คุณชอบที่สุด : เพลงชาติมั้ง ฟังทุกวัน วันละสองครั้ง
>>>>16.แล้วเราอ่ะชื่อไร : นั่นสิ ชื่อไรหว่า
>>>>17.คุณชอบสีไร : สีรุ้ง
>>>>18.ทำไม : เป็นสีหนึ่งที่มีความหลากหลายอยู่ในตัว
>>>>19.หลังจากตอบเมลล์นี้แล้วคุณจะทำ ไร : ก้อส่งต่อไง
>>>>20.คุณอยากบอกอะไรกับคนที่คุณส่งเมลล์ให้ : โทษทีว่ะ
>>>>21.มีคนนั้นในใจรึยังเอ่ย : คนไหนอ่ะค่ะ
>>>>22.ทำไมถึงเก็บเค้าไว้ในใจหละ : เพราะว่าไม่อยาก(ไว้)นอกใจไง
>>>>23.เรื่องดีใจล่าสุดของคุณ : ไม่มี
>>>>24.เรื่องเสียใจล่าสุดละ : ไม่มี
>>>>25.เกิดวันอะไร วันที่และ เดือน ด้วย : 12/02/xx
>>>>27.อยากได้อะไร : ไม่อยากได้..
>>>>28.ขอพรได้หนึ่งข้ออยากจะขออะไร : ขอให้โลกสงบสุข (อ่ะ..อันนี้จริงๆๆ ไม่ใช่อยากเป็นนางเอก)
>>>> 29.เกิดราศีไร :ไม่กุมภ์ก็มังกร --งงอยู่เหมือนกัน--
>>>>30.บ้านอยู่ไหนอะ : ทำไม จะไปเหรอ
>>>>31.ใส่นาฬิกายี่ห้อไร : ไม่ใส่ ไม่ยึดติด
>>>>32.น้ำหอมหละ : เหมือนนาฬิกา...
>>>>33.ชอบกีฬาอะไรมากที่สุดหละ : ระบำใต้น้ำ (ชอบดูนะ--ไม่ชอบเล่น -- คริคริ)
>>>> 34.ชอบคุยโทรสับป่าว : คุยได้แต่ไม่ชอบ
>>>>35.ชอบอ่านหนังสือป่าว : มาก...ต้องอ่านก่อนนอนทู้กวัน
>>>>36.เล่นดนตรีอะไรรึป่าว : ขิม ซอด้วง แต่ไม่ได้เล่นนานมากแล้ว
>>>>37.คุณจะส่งเมลล์นี้ต่อไปมั้ย : อ่ะ...พิมพ์มาขนาดนี้แล้วอ่ะ
>>>>38.คุณคิดยังไงกับความเหงา : ก็อารมณ์วูบนึงที่จิตคิดไปเอง
>>>>39.คติประจำจัยล่ะ : อะไรก็ได้และอะไรก็ไม่ได้//ทุกสิ่งหรือบางสิ่ง//เวลาเปลี่ยนทุกอย่างเปลี่ยน
>>>>40.อารัยทำให้คุณมีความสุขที่สุด :หนังสือและความเงียบ
>>>>41.หนังสือเล่มโปรด : ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นหนังสือเล่มไหนตอบโจทย์ที่เรามีได้
>>>>42.การ์ตูนเรื่องโปรด : โคนัน
>>>>43.รายการโทรทัศน์สุดโปรด : ไม่ชอบดูโทรทัศน์
>>>>44.ละครเรื่องโปรด : ไม่มี
>>>>45.เว็บที่เข้าบ่อยที่สุด : myspace //manager online มั้ง
>>>>46.ผู้หญิง/ผู้ชายในสเป๊ค : ไม่ได้กำหนด
>>>>47.สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้ : อยากนอน...555
>>>>48.ความฝันล่ะ อยากจะทำอะไรในอนาคตรึว่าอยากจะเป็นอะไร : ไม่มีอดีต หรือ อนาคต มีแค่ปัจจุบันที่หายใจและจิตตั้งมั่น
>>>>49.คิดว่าคุณเป็นคนอย่างไร : เป็นคนแปลกๆและเข้าใจยากมั้ง
>>>>50.คิดว่าคนอื่นมองคุณว่าเป็นอย่างไร : อืมม์.. มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเรียกคุณว่าอะไร อยู่ที่คุณขานรับอะไรมากกว่า

เปลือก

*เมื่อพูดถึง "เปลือก" หลายคนคงนึกถึงเปลือกหอย บางคนนึกถึงเปลือกผลไม้ และอย่างน้อย คงต้องมีสักคนหนึ่งแหล่ะที่นึกถึงเปลือกไข่ *

*ถ้าเราค้นหาลักษณะร่วมของสิ่งเหล่านี้ ก็จะพบว่า เปลือกของมัน คือ ส่วนนอกสุดที่ห่อหุ้มเนื้อในเอาไว้ *

*ดังนั้น เปลือก จึงเป็นทั้งภาพ ที่ปรากฏต่อสายตา และเป็นส่วนที่ออกมาสัมผัส สัมพันธ์กับสรรพสิ่งที่เหลือ *

*ถ้าเราถามต่อไปว่า ทำไมพืชสัตว์เหล่านี้ต้องมีเปลือก? คำตอบก็คงมีอยู่ง่าย ๆ ว่า เพราะเนื้อในของมันนิ่ม อ่อนแอ กระทั่งไม่น่าดู *
ฉะนั้นจึงต้องสร้างเปลือกขึ้นมาหุ้มไว้

*แล้วมนุษย์เล่ามีเปลือกด้วยหรือไม่? แน่ละ ในทางกายภาพแล้ว เราคงพูดไม่ได้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์มีเปลือก ทว่าในทางสังคม ใครจะกล้าปฏิเสธว่า ผู้คนมิได้ห่อหุ้มตัวเองไว้ด้วย "เปลือก" สารพัดชนิด พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว เปลือกมนุษย์นั้นมีมากมายหลายหลากกว่าเปลือกหอยเสียอีก และเท่าที่เฝ้ามองสิ่งเหล่านี้มาเป็นเวลานาน ผมเห็นว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่ง*

*ผมเคยเห็นผู้ชายใจนักเลงหลายคน มีเรือนร่างเล็กบ้างกระทั่งต่ำเตี้ย ใช่หรือไม่ว่า ความห้าวหาญของเขานั้นแท้จริง คือ เสื้อเจ็กเกตชั้นดี ที่คอยห่อหุ้มความรู้สึกถูกคุกคามในเบื้องลึก*

*หญิงสาวจำนวนไม่น้อยเชิดหน้าเมินชาย แต่บางทีพฤติกรรมเช่นนั้น ก็อาจเป็นผ้าห่มชนิดหนึ่งที่เธอใช้ปกคลุมหัวใจที่เหน็บหนาวและรอคอยการโอบกอด *

*คนมีเงินถุงเงินถังในบ้านเราชอบสะสมวัตถุสิ่งของราคาแพง เป็นไปได้หรือไม่ว่า ลึก ๆ ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองไม่อาจสร้างมิตรภาพกับผู้คนได้อีกแล้ว ฯลฯ *

*ใช่….ผมเคยถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า ทำไมคนเราต้องมีเปลือก ในที่สุดก็ได้คำตอบที่แสนจะธรรมดาออกมาว่า เปลือกมนุษย์นั้น แท้จริงทำหน้าที่เยี่ยงเดียวกับ เปลือกหอยหรือเปลือกอื่น ๆ คือ ปกป้องเนื้อในที่อ่อนแอ *

*ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้ทุกคนล้วนต้องสร้างเปลือกและเมื่อทุกคนโชว์แต่เปลือกนอก นับวันก็ยิ่งไม่รู้จักกัน ในเมื่อไม่รู้จักกัน ความรู้สึกไม่ปลอดภัยก็เกิดขึ้น จนแล้วจนรอดเราเลยไม่กล้าถอดเปลือกให้ใครเห็นตัวจริง*

ทุกวันนี้ ถ้าเรากวาดสายตาดูไปรอบ ๆ ก็จะพบว่า มีสินค้าและบริการมากมายเหลือเกินที่ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนกระบวนการสร้างเปลือกดังกล่าว

ผู้คนเยอะแยะบริโภคสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อสร้างหรือรักษา IMAGE ที่อยากให้ปรากฏต่อสายตาผู้อื่น

เอาง่าย ๆ ตั้งแต่เรื่องเครื่องสำอาง มีหญิงสาวกี่คนที่สามารถออกจากบ้านได้โดยไม่ต้องทาโน่นทานี่บนใบหน้า ยังไง ๆ หล่อนก็ไม่ยอมเชื่อว่า ผู้ชายที่ออฟฟิศจะมองข้ามเรื่องหน้าตาไปได้

*ถึงคุณผู้ชายก็เถอะ ทุกวันที่ออกจากบ้าน ใช่หรือไม่ ที่อยาก PRESENT ตัวเองในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งคำนวณแล้วว่า ทำให้ชีวิตมิต้องผิดหวัง ต่ำต้อยจนเกินไปนัก*

*พวกที่เป็น BOSS จริงมั้ยที่คุณอยากจะ LOOK GOOD ต่อหน้าลูกน้องตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งนำไปสู่มาด ฟอร์ม การแต่งตัว กิน ดื่ม กระทั่งท่าลุกนั่งที่ปราศจากความหรรษาใด ๆ ผมเชื่อเหลือเกินว่า หลายคนอึดอัดกับเปลือกที่ตัวเองต้องสวมใส่ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน บางคนอาจมาถึงข้อสรุปแล้วด้วยซ้ำว่า ไม่มีที่ไหนปลอดภัยพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง ฉะนั้น ห้วงยามที่เขาสบายใจที่สุด คือ เวลาที่ได้อยู่ตามลำพัง แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะสร้างสังคมที่มนุษย์ไม่มีเปลือกได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากจะต้องเริ่มต้นจากสังคม ที่นิยามความสุขด้วยชัยชนะเหนือผู้อื่น ลึก ๆ แล้ว เราคงทำได้อย่างมากแค่สร้างมุมบางมุมในชีวิต ที่เราพอถอดเปลือกออกได้บ้าง โดยไม่ต้องหวั่นเกรงการทำร้าย

*ปัญหามีอยู่ว่า จะสร้างมุมเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? แน่ละ คำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จคงไม่มี แต่ผมมีแง่คิดบางอย่างที่อยากจะแบ่งปันกันไว้ในที่นี้ มันเป็นแง่คิดที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน

*หลังจากที่สอนหนังสือเสร็จในตอนเช้า ผมเห็นว่า ตอนบ่ายในธรรมศาสตร์นั้นแล้งเหงาเกินไปแล้ว จึงออกไปเดินดูบรรดาแผงแบกะดินที่เรียงรายอยู่ตามถนน ตั้งแต่ท่าพระจันทร์ไปถึงท่าช้าง แผงเหล่านี้ขายของสารพัดอย่าง ตั้งแต่ปลัดขิกใหญ่เท่าน่อง มาจนถึงกล้องส่องทางไกลอันเท่าบ้องกัญชา *

*เดินไปได้สักพักผมรู้สึกคอแห้ง จึงเข้าไปหาอะไรดื่มในร้านกาแฟตรงข้ามมหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะนั่งเหม่อมองผู้คนที่เดินไปมาอยู่หนาแน่นนั้นเอง พลันก็มีเด็กผู้หญิงอายุราว 8 ขวบคนหนึ่ง ยื่นเศษกระดาษหุ้มพลาสติกมาตรงหน้า ในนั้นมีข้อความระบุว่าเธอเป็นใบ้และมาจากครอบครัวยากจน ขอให้เมตตาเธอ ด้วยการซื้อกระดาษเช็ดปากสักห่อ ผมเพ่งมองสีหน้าแววตาของแม่หนูคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบธนบัตรใบละ 20 บาท ยื่นให้หนึ่งใบ เธอหยิบกระดาษทิชชู พร้อมเงินทอนส่งให้ผมอย่างนอบน้อมแล้วทำท่าจะจากไป ผมมองหน้าเธออีกครั้งด้วยสายตาเป็นมิตร ก่อนที่จะยื่นกระดาษทิชชูคืนให้ ในวูบแรกทีเดียว แม่หนูขายกระดาษหันมามองผม อย่าง งง ๆ แต่เมื่อเห็นผมยิ้ม สีหน้าที่ดูหม่นแห้งเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจ "ขอบคุณค่ะ" เด็กใบ้กล่าวกับผมเบา ๆ พอได้ยินกันสองคน ตอนที่เดินออกมาจากร้านกาแฟ เพื่อกลับเข้ามหาวิทยาลัย

*ผมรู้สึกมีความสุขจนอดยิ้มออกมาคนเดียวไม่ได้ จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไร เมื่อคิดถึงว่า ผมคงเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้คนไม่มากนักที่เคยได้ยิน คำขอบคุณจากคนใบ้

ครับ บางที "คนใบ้" รอบ ๆ ตัวคุณ อาจจะยอมพูดออกมาก็ได้ ถ้าคุณทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และในทางกลับกัน คุณเองก็คงจะเลิกซ่อนตัวอยู่ในเปลือกของ "คนใบ้" ถ้าพบใครสักคนที่ให้คุณ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ผมคงไม่ต้องระบุใช่มั้ยว่า อะไรเป็นเครื่องมือสำคัญในการถอดเปลือกมนุษย์!

***บทความจาก คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล****

Monday, October 1, 2007

หลายใจ

ปลายเดือนนี้ก็จะมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
กำลังคิดว่าจะเก็บกระเป๋าแล้วหายตัวไปอยู่ที่ไหนดี
เพราะว่ากำลังหลายใจ..
เพราะว่าอยากไปหลายที่..

..ปาย (เอ่อ คือใกล้กับพม่าไง)
..เชียงใหม่
..ภูกระดึง (จะไหวมั้ยเนี่ย..)
..หนองคาย
..ลาว (อืมม์ น่าสน)
..เวียงจันทร์

ยังสรุปไม่ได้
หาข้อมูลเพื่อจะได้ให้ตัวเองมีกำลังใจ
ไม่ให้แพลนล่มอย่างที่แล้วๆมา
อืมม...
คิดว่าทางที่ดีควรจะไปซื้อตั๋วขาไปไว้ก่อนเลยดีกว่า
อย่างน้อยก็จะได้มีจุดมุ่งหมาย
...ว่าไปแน่ๆ

ว่าแต่...จะไปรถไฟ รถยนต์ หรือ เครื่องบินอ่ะ...

555

ป.ล. วันนี้หวยออก--ไม่เกี่ยวใช่ปะ 555

พอดีว่าซื้อไว้น่ะ ตาซ้ายกระตุกหลายวันแล้ว...

ขอบคุณพระองค์ที่ให้งบประมาณในการเดินทางของลูกครั้งนี้

Thursday, September 27, 2007

เอ่อ..คือ..

นี่ต้องไปสอบโทเฟิลอ่ะ
แต่เข้าไปอ่านในไซท์แล้ว..งงงง..
แล้วนี่ต้องเริ่มจากตรงไหน ยังไงก่อนเนี่ย

ใครรู้ช่วยบอกหน่อยดิ
งงมากมาก..

T_T

ช่วยด้วย...ยยยยยยยยยยยยย....

Thursday, September 20, 2007

เรื่องของแซนวิช

นานแล้วที่ไม่ได้กินข้าวกล่อง
เมื่อวานอึน อีน ทำให้
แต่ไม่ใช่ข้าว...
เป็นแซนวิช...

เพราะฉะนั้นเราควรเรียกมันว่าแซนวิชกล่องรึเปล่า

อย่ากระนั้นเลย
จะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม
จุดมันอยู่ที่ความรู้สึกไม่ใช่รสชาตอยู่ดี

ไม่รู้ทำไมเหมือนกันฉันถึง"รู้สึก"มากมาย
กับแซนวิชกล่องเมื่อวาน
มีแซนวิชแฮมที่ไม่ใส่ผัก
กับแซนวิชทูน่าที่ใส่ผัก

อร่อยทั้งสองอย่าง

กินไปก็นึกถึงคนทำ
และขั้นตอนขณะที่เขาทำ

รู้สึกซาบซึ้ง
บอกไม่ถูก

นี่หรือเปล่าที่เค้าเรียกว่า
ใส่ความรักลงไปน่ะ

จับต้องไม่ได้แต่รับรู้และสัมผัสได้
...จริง จริง...

บทสรุป

จากที่สับสน วกวน และวนไปวนมา อยู่ราวสัปดาห์
ก็ต้องตัดใจและตัดสินใจว่าทางไหนที่เราควรจะไป

เพราะว่าฉันมองๆไม่เห็นทางข้างหน้า
และกลัวที่จะก้าวเดิน
มันก็เลยไม่ได้เดิน...

จู่ๆก็ได้งานใหม่
ต้องตัดใจทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจ
ไม่ใช่เนื้องานที่ไม่มั่นใจ
แต่เป็นวิถีการดำเนินชีวิต
...ที่มัน"เมือง"เกินไป

ฉันเคยเป็นเด็กฝึกงานที่โรงแรมห้าดาว
งานเข้า 9 โมง ถึง หกโมง
ถึงห้องสองทุ่มเป็นอย่างน้อย
และตื่น 7 โมงเช้า
1 สัปดาห์ หยุดได้ 1 วัน
วนๆ แบบนี้จนสามเดือน
เป็นแบบนี้ 2 ครั้ง ครั้งละสามเดือน
ตอนนั้นสัมผัสคำว่าชีวิตส่วนตัวไม่เป็นเลย
เหนื่อยจากการใช้แรงงานและสภาพการจราจร
1 วันที่หยุดก็เหมือนฝันไป
เมื่อเข้าขั้นวิกฤต
ฉันพบว่าตัวเองตื่นเช้ามาพร้อมกับ
เหตุผลที่สุดจะสรรหามาเผื่อไม่ไปทำงาน
รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆตอนนั้น
เหมือนกับป่วยจริงๆไปเลย

Someone says, we work for holiday.

ฉันว่าจริงๆแล้วมันไม่ต้องเจออะไรที่เยอะๆ
และกดดันแบบนั้นก็ได้ไง
ไม่มีอะไร
ก็แค่คิดว่าไม่เหมาะกับตัวเองเท่านั้นเอง

เพราะฉันเกิดมาเป็นคน...
...และเลือกได้

...คิดเท่านั้นเอง


Q: You need to think out of money side but how much you like the job which make you're happy to be there EVERYDAY. Listen to your heart. Blessing you the best.

A: I'm sure that I'M NOT SURE! Weather it's wrong decision, I will take all. Money is nothing. Just nothing.

Um-Bre-El-La

[Jay-Z]
Ahuh Ahuh (Yea Rihanna)
Ahuh Ahuh (Good girl gone bad)
Ahuh Ahuh (Take three... Action)
Ahuh Ahuh

No clouds in my storms
Let it rain, I hydroplane in the bank
Coming down with the Dow Jones
When the clouds come we gone, we Rocafella
We fly higher than weather
And G5’s are better, You know me,
an anticipation, for precipitation. Stacked chips for the rainy day
Jay, Rain Man is back with little Ms. Sunshine
Rihanna where you at?

[Rihanna]
You have my heart
And we'll never be worlds apart
May be in magazines
But you'll still be my star
Baby cause in the dark
You can't see shiny cars
And
that's when you need me there
With you I'll always share
Because


[Chorus]
When the sun shines, we’ll shine together
Told you I'll be here forever
Said I'll always be a friend
Took an oath I'ma stick it out till the end
Now that it's raining more than ever
Know that we'll still have each other
You can stand under my umbrella
You can stand under my umbrella
(Ella ella eh eh eh)
Under my umbrella
(Ella ella eh eh eh)
Under my umbrella
(Ella ella eh eh eh)
Under my umbrella
(Ella ella eh eh eh eh eh eh)

These fancy things, will never come in between
You're part of my entity, here for Infinity
When the war has took it's part
When the world has dealt it's cards
If the hand is hard, together we'll mend your heart
Because [Chorus]

You can run into my arms
It's okay don't be alarmed
Come here to me
There's no distance in between our love
So go on and let the rain pour
I'll be all you need and more

Because [Chorus]

It's raining
Ooh baby it's raining
Baby come here to me
Come here to me
It's raining
Oh baby it's raining

Song: Umbrella
Artist: Rihanna

Monday, September 17, 2007

Total Eclipse of Heart



Turnaround, every now and then I get a little bit lonely and you're never coming round
Turnaround, every now and then I get a little bit tired of listening to the sound of my tears
Turnaround, every now and then I get a little bit nervous that the best of all the years have gone by
Turnaround, every now and then I get a little bit terrified and then I see the look in your eyes
Turnaround bright eyes, every now and then I fall apart
Turnaround bright eyes, every now and then I fall apart

And I need you now tonight
And I need you more than ever
And if you'll only hold me tight
We'll be holding on forever
And we'll only be making it right
Cause we'll never be wrong together
We can take it to the end of the line
Your love is like a shadow on me all of the time (all of the time)
I don't know what to do and I'm always in the dark
We're living in a powder keg and giving off sparks
I really need you tonight
Forever's gonna start tonight
Forever's gonna start tonight

Once upon a time I was falling in love
But now I'm only falling apart
There's nothing I can do
A total eclipse of the heart
Once upon a time there was light in my life
But now there's only love in the dark
Nothing I can do
A total eclipse of the heart

Turnaround, every now and then I get a little bit restless and I dream of something wild
Turnaround, every now and then I get a little bit helpless and I'm lying like a child in your arms
Turnaround, every now and then I get a little bit angry and I know I've got to get out and cry
Turnaround, every now and then I get a little bit terrified but then I see the look in you eyes
Turnaround bright eyes, every now and then I fall apart
Turnaround bright eyes, every now and then I fall apart

And I need you now tonight
And I need you more than ever
And if you'll only hold me tight
We'll be holding on forever
And we'll only be making it right
Cause we'll never be wrong together
We can take it to the end of the line
Your love is like a shadow on me all of the time (all of the time)
I don't know what to do and I'm always in the dark
We're living in a powder keg and giving off sparks
I really need you tonight
Forever's gonna start tonight
Forever's gonna start tonight

Once upon a time I was falling in love
But now I'm only falling apart
There's nothing I can do
A total eclipse of the heart

A total eclipse of the heart
A total eclipse of the heart
A total eclipse of the heart
A total eclipse of the heart

Friday, September 14, 2007

Stay Hungry..Stay Foolish

Stanford Report, June 14, 2005
This is the text of the Commencement address by Steve Jobs, CEO of Apple Computer and of Pixar Animation Studios, delivered on June 12, 2005.


I am honored to be with you today at your commencement from one of the finest universities in the world. I never graduated from college. Truth be told, this is the closest I've ever gotten to a college graduation. Today I want to tell you three stories from my life. That's it. No big deal. Just three stories.

The first story is about connecting the dots.
I dropped out of Reed College after the first 6 months, but then stayed around as a drop-in for another 18 months or so before I really quit. So why did I drop out?
It started before I was born. My biological mother was a young, unwed college graduate student, and she decided to put me up for adoption. She felt very strongly that I should be adopted by college graduates, so everything was all set for me to be adopted at birth by a lawyer and his wife. Except that when I popped out they decided at the last minute that they really wanted a girl. So my parents, who were on a waiting list, got a call in the middle of the night asking: "We have an unexpected baby boy; do you want him?" They said: "Of course." My biological mother later found out that my mother had never graduated from college and that my father had never graduated from high school. She refused to sign the final adoption papers. She only relented a few months later when my parents promised that I would someday go to college.
And 17 years later I did go to college. But I naively chose a college that was almost as expensive as Stanford, and all of my working-class parents' savings were being spent on my college tuition. After six months, I couldn't see the value in it. I had no idea what I wanted to do with my life and no idea how college was going to help me figure it out. And here I was spending all of the money my parents had saved their entire life. So I decided to drop out and trust that it would all work out OK. It was pretty scary at the time, but looking back it was one of the best decisions I ever made. The minute I dropped out I could stop taking the required classes that didn't interest me, and begin dropping in on the ones that looked interesting.
It wasn't all romantic. I didn't have a dorm room, so I slept on the floor in friends' rooms, I returned coke bottles for the 5¢ deposits to buy food with, and I would walk the 7 miles across town every Sunday night to get one good meal a week at the Hare Krishna temple. I loved it. And much of what I stumbled into by following my curiosity and intuition turned out to be priceless later on. Let me give you one example:
Reed College at that time offered perhaps the best calligraphy instruction in the country. Throughout the campus every poster, every label on every drawer, was beautifully hand calligraphed. Because I had dropped out and didn't have to take the normal classes, I decided to take a calligraphy class to learn how to do this. I learned about serif and san serif typefaces, about varying the amount of space between different letter combinations, about what makes great typography great. It was beautiful, historical, artistically subtle in a way that science can't capture, and I found it fascinating.
None of this had even a hope of any practical application in my life. But ten years later, when we were designing the first Macintosh computer, it all came back to me. And we designed it all into the Mac. It was the first computer with beautiful typography. If I had never dropped in on that single course in college, the Mac would have never had multiple typefaces or proportionally spaced fonts. And since Windows just copied the Mac, its likely that no personal computer would have them. If I had never dropped out, I would have never dropped in on this calligraphy class, and personal computers might not have the wonderful typography that they do. Of course it was impossible to connect the dots looking forward when I was in college. But it was very, very clear looking backwards ten years later.
Again, you can't connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.


My second story is about love and loss.
I was lucky — I found what I loved to do early in life. Woz and I started Apple in my parents garage when I was 20. We worked hard, and in 10 years Apple had grown from just the two of us in a garage into a $2 billion company with over 4000 employees. We had just released our finest creation — the Macintosh — a year earlier, and I had just turned 30. And then I got fired. How can you get fired from a company you started? Well, as Apple grew we hired someone who I thought was very talented to run the company with me, and for the first year or so things went well. But then our visions of the future began to diverge and eventually we had a falling out. When we did, our Board of Directors sided with him. So at 30 I was out. And very publicly out. What had been the focus of my entire adult life was gone, and it was devastating.
I really didn't know what to do for a few months. I felt that I had let the previous generation of entrepreneurs down - that I had dropped the baton as it was being passed to me. I met with David Packard and Bob Noyce and tried to apologize for screwing up so badly. I was a very public failure, and I even thought about running away from the valley. But something slowly began to dawn on me — I still loved what I did. The turn of events at Apple had not changed that one bit. I had been rejected, but I was still in love. And so I decided to start over.
I didn't see it then, but it turned out that getting fired from Apple was the best thing that could have ever happened to me. The heaviness of being successful was replaced by the lightness of being a beginner again, less sure about everything. It freed me to enter one of the most creative periods of my life.
During the next five years, I started a company named NeXT, another company named Pixar, and fell in love with an amazing woman who would become my wife. Pixar went on to create the worlds first computer animated feature film, Toy Story, and is now the most successful animation studio in the world. In a remarkable turn of events, Apple bought NeXT, I returned to Apple, and the technology we developed at NeXT is at the heart of Apple's current renaissance. And Laurene and I have a wonderful family together.
I'm pretty sure none of this would have happened if I hadn't been fired from Apple. It was awful tasting medicine, but I guess the patient needed it. Sometimes life hits you in the head with a brick. Don't lose faith. I'm convinced that the only thing that kept me going was that I loved what I did. You've got to find what you love. And that is as true for your work as it is for your lovers. Your work is going to fill a large part of your life, and the only way to be truly satisfied is to do what you believe is great work. And the only way to do great work is to love what you do. If you haven't found it yet, keep looking. Don't settle. As with all matters of the heart, you'll know when you find it. And, like any great relationship, it just gets better and better as the years roll on. So keep looking until you find it. Don't settle.


My third story is about death.
When I was 17, I read a quote that went something like: "If you live each day as if it was your last, someday you'll most certainly be right." It made an impression on me, and since then, for the past 33 years, I have looked in the mirror every morning and asked myself: "If today were the last day of my life, would I want to do what I am about to do today?" And whenever the answer has been "No" for too many days in a row, I know I need to change something.
Remembering that I'll be dead soon is the most important tool I've ever encountered to help me make the big choices in life. Because almost everything — all external expectations, all pride, all fear of embarrassment or failure - these things just fall away in the face of death, leaving only what is truly important. Remembering that you are going to die is the best way I know to avoid the trap of thinking you have something to lose. You are already naked. There is no reason not to follow your heart.
About a year ago I was diagnosed with cancer. I had a scan at 7:30 in the morning, and it clearly showed a tumor on my pancreas. I didn't even know what a pancreas was. The doctors told me this was almost certainly a type of cancer that is incurable, and that I should expect to live no longer than three to six months. My doctor advised me to go home and get my affairs in order, which is doctor's code for prepare to die. It means to try to tell your kids everything you thought you'd have the next 10 years to tell them in just a few months. It means to make sure everything is buttoned up so that it will be as easy as possible for your family. It means to say your goodbyes.
I lived with that diagnosis all day. Later that evening I had a biopsy, where they stuck an endoscope down my throat, through my stomach and into my intestines, put a needle into my pancreas and got a few cells from the tumor. I was sedated, but my wife, who was there, told me that when they viewed the cells under a microscope the doctors started crying because it turned out to be a very rare form of pancreatic cancer that is curable with surgery. I had the surgery and I'm fine now.
This was the closest I've been to facing death, and I hope its the closest I get for a few more decades. Having lived through it, I can now say this to you with a bit more certainty than when death was a useful but purely intellectual concept:
No one wants to die. Even people who want to go to heaven don't want to die to get there. And yet death is the destination we all share. No one has ever escaped it. And that is as it should be, because Death is very likely the single best invention of Life. It is Life's change agent. It clears out the old to make way for the new. Right now the new is you, but someday not too long from now, you will gradually become the old and be cleared away. Sorry to be so dramatic, but it is quite true.
Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma — which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of others' opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.
When I was young, there was an amazing publication called The Whole Earth Catalog, which was one of the bibles of my generation. It was created by a fellow named Stewart Brand not far from here in Menlo Park, and he brought it to life with his poetic touch. This was in the late 1960's, before personal computers and desktop publishing, so it was all made with typewriters, scissors, and polaroid cameras. It was sort of like Google in paperback form, 35 years before Google came along: it was idealistic, and overflowing with neat tools and great notions.
Stewart and his team put out several issues of The Whole Earth Catalog, and then when it had run its course, they put out a final issue. It was the mid-1970s, and I was your age. On the back cover of their final issue was a photograph of an early morning country road, the kind you might find yourself hitchhiking on if you were so adventurous. Beneath it were the words: "Stay Hungry. Stay Foolish." It was their farewell message as they signed off. Stay Hungry. Stay Foolish. And I have always wished that for myself. And now, as you graduate to begin anew, I wish that for you.


Stay Hungry. Stay Foolish.
Thank you all very much.


So much thanks for Stanford News sharing this.

(http://news-service.stanford.edu/news/2005/june15/jobs-061505.html)

S.A.D.

SAD (Seasonal Affective Disorder)

Whether you thought it was called SAD syndrome, Seasonal Adjustment Disorder, Seasonal Affected Disorder or just plain SAD Disorder then you've come to the right place. The terms Winter Depression or Winter Blues are also sometimes used, especially when describing milder types of SAD


What is SAD?

Animals react to the changing seasons with changes in mood, metabolism and behaviour and human beings are just the same. Most people find they eat and sleep slightly more in winter and dislike the dark mornings and short days. For some, however, symptoms are severe enough to disrupt their lives and to cause considerable distress. These people are suffering from SAD.

How does it affect people?

Sleep problems - oversleeping but not refreshed, cannot get out of bed, needing a nap in the afternoon
Overeating - carbohydrate craving leading to weight gain
Depression, despair, misery, guilt, anxiety - normal tasks become frustratingly difficult
Family / social problems - avoiding company, irritability, loss of libido, loss of feeling
Lethargy - too tired to cope, everything an effort
Physical symptoms - often joint pain or stomach problems, lowered resistance to infection
Behavioural problems - especially in young people

The symptoms tend to start from around September each year lasting until April, but are at their worst in the darkest months.

Who does it affect?

The standard figure says that around 2% of people in Northern Europe suffer badly, with many more (10%) putting up with milder symptoms (sub-syndromal SAD or the Winter Blues). Across the world the incidence increases with distance from the equator, except where there is snow on the ground, when it becomes less common. More women than men are diagnosed as having SAD. Children and adolescents are also vulnerable.

What causes it?

The problem stems from the lack of bright light in winter. Researchers have proved that bright light makes a difference to the brain chemistry, although the exact means by which sufferers are affected is not yet known. It is not a psychosomatic or imaginary illness.

What treatment is there?

As the cause is lack of bright light, the treatment is to be in bright light every day by using a light box or a similar bright light therapy device. (Going to a brightly-lit climate, whether skiing or somewhere hot, is indeed a cure). The preferred level of light is about as bright as a spring morning on a clear day and for most people sitting in front of a light box, allowing the light to reach the eyes, for between 15 and 45 minutes daily will be sufficient to alleviate the symptoms. The user does not have to stare at the light, but can watch TV or read or similar, just allowing the light to reach the eyes. Outside In have a complete range of light boxes, all designed in line with the research findings from medical and academic facilities. They are all available on our pioneering Home Trial System, and most of them VAT-free for personal users.

Is anything special about the light?

The light must be suitably bright. At least 2500lux (lux is the technical measure of brightness) is needed, which is five times brighter than a well-lit office (a normal living room might be as low as 100lux); brighter lights up to 10,000lux work quicker. The light box must deliver the lux at a sensible distance, so you don't have to be sat too close to it. Contrary to the old belief the light does not need to be special daylight, colour matching or 'full spectrum' light; simply changing the lamps in a room to these special types will not produce sufficient light.

Should I talk to my doctor?

We encourage SAD sufferers to seek the support of their doctor. We can also supply comprehensive information packs for medical practitioners.


(Credits:
http://www.outsidein.co.uk/sadinfo.htm)

(เสียง)ในใจ

ในมุมเงียบที่สุด
ที่ไม่เหลือใครๆ
จะมีเพียงเสียงหนึ่งข้างในที่บอกเรา
เราเท่านั้น..ที่รู้

มีคำพูดที่หวังดี
มีคนที่เฝ้าดู
แต่หากว่าใจฉันยังเต้นอยู่
ก็อยากจะทำ..ไปตามหัวใจ

และเธอได้ยินอย่างฉันไหม
อะไรที่มันอยู่ข้างใน
มันคอยบอกให้ทำลงไป
ไม่ต้องกลัวและให้ฉันต้องมั่นใจ

เพราะว่าใจฉัน นั้นรู้ ดีอยู่ข้างใน
จะกอดเอาไว้ หวงแหน
ไม่ทิ้งมันไป
ไม่มีคนไหน ทั้งนั้น ที่จะเข้าใจ
นอกจากตัวฉันเอง จะเชื่อแต่ใจฉันเอง
ไม่เคยเหนื่อยล้า ท้อแท้ ในคำของใคร
เจ็บปวดอย่างไร แค่ไหน ไม่เห็นจะเกรง
หากใจยังไหว สุดท้าย เราคงได้รู้เอง...
จะสู้กับใจฉันเอง (จะสู้กับใจฉันเอง)
ด้วยความตั้งใจฉันเอง...

และเธอก็ได้ยินใช่ไหม
อะไรที่ดังอยู่ในใจ
จงเชื่อมันและทำลงไป
ไม่ต้องกลัวและก็ขอให้มั่นใจ
เพราะเธอเท่านั้น ที่รู้ ดีอยู่ข้างใน
กอดมันเอาไว้ หวงแหน อย่าทิ้งมันไป
ไม่มีคนไหน ทั้งนั้น ที่จะเข้าใจ
นอกจากใจของเธอ
หรือมากกว่าใจของเธออย่าไปท้อแท้ ท้อถอย
เพราะคำของใครเจ็บปวดอย่างไร
แค่ไหน ในวันที่เจอ
หากใจยังไหว
สุดท้าย มันจะเป็นวันของเธอ...
จงสู้กับใจของเธอ (จงสู้กับใจของเธอ)
ด้วยความตั้งใจของเธอ

กับสิ่งที่จะฝันไป
เป็นจริงไหม..ไม่รู้
แต่หากว่าใจเธอยังเต้นอยู่ก็ให้เธอทำ
..ไปตามหัวใจ
ถ้าหากว่าใจนี้ยังเต้นอยู่ก็แค่ลองทำ ทำไปตาม หัวใจ

เนื้อเพลง: เสียงในใจ
อัลบั้ม: Dangerous Tata
ร่วมร้องโดย B5

SANCTUARY

Chorus :
[ชาย] ตื่นจากความฝันอันงดงามที่ผ่านมา ลืมตามองหาความเป็นจริงอยู่ข้างหน้า มันอาจเป็นทุกข์ที่ยากเกินจินตนา มาๆ (เข้ามา) มาๆ (เข้ามา) ดาหน้ากันเข้ามา

[หญิง] สุดปลายตาธารากว้างไกล แต่ฉันยังคงต้องว่ายไป ลอยตามกระแสทุกข์ทน ข้างในใจตนทุกคนไป ฝั่งฝันยังไม่เห็นด้วยตา แต่ใจรับรู้อยู่ข้างใน ว่าสักวัน (ต้องมี) ปลายทาง (ต้องดี) ไม่มีวันจากไปไหน

Verse 1 : [Joey Boy]
การก่อเกิดต้องเริ่มต้นที่ความเจ็บ ไม่งั้นอย่าอยู่ดีกว่านี่มันชีวิตใช่หมากเก็บ เหน็บและหนาวเหนื่อยและท้อก็ต้องทน อย่างน้อยได้เกิดเป็นคนมีชีวิตต้องดิ้นรน อภิสิทธิ์โอกาสนี้กูลิขิต ไม่หยุดถ้ายังหายใจถ้าจำไม่ได้กูไทยประดิษฐ์ เอกสิทธิ์ของพันธุ์ทางกลางบางนา ศัตรูที่ผ่านมาทอดกายาอยู่ห้องดับจิต

[Zom] ติดบ่วงมายาล้าและหลง พ่ายแพ้เพียงเพราะจนใจ ตื่นสักทีหยุดปล่อยชีวีให้บรรลัย อยากจะดอมดมกลีบดอกไม้ยังมัวกลัวปลายหนามคม คงไม่ถึงผั่งฝันโพธิยาลัย ซักวัน ต้องมี วันที่เขี้ยวคมหนามแพ้พลังใจ ซ่าอมรมณ์ไม่ยอมล้มให้อะไร ปลดปล่อยพันธนาด้วยปัญญาสัจจะชัย

[สิงห์เหนือเสือใต้] (Yeah! F to da H. B to da Z Yeah! รีรออะไรอยู่เล่า)
อากาศมีไว้ให้สูดไม่ใช่เพื่อปลูกวิมาน (ลุก) งอมืองอตีนมัน Attitude ไม่ต่างจากคนพิการ (ขึ้น) หนูน้อยหมวกแดงกำลังจะโดนหมาป่ารับประทาน (สู้) เพราะไม่อาจรั้งรอนายพราน ความเป็นจริงไม่อาจคู่นิทานฉันใด เฉกเช่นมนุษย์ไม่อาจมีปีกแต่เรามีฝันไว้ปีนให้สูงเหมือนขึ้นบันใด ขอเพียงมีใจ เชื่อในศรัทธาดูวีณามันแกว่งไกวๆๆๆ ข้ามฟ้าฝ่าฝนในทะเล (เฮ) เจ็บปวดเจียนตายจนทุลักทุเล (เฮ) หนทางเกิดการคาดคะเน (เฮ) กรรมมารุมกระหน่ำเต็มที่แค่เซ (Hey!) โคตรพายุถึงแม้ว่ามันจะพัดผ่าน วิธี่ที่เอาชนะสุดท้ายคนเราต้องมีกันซักอย่าง ไม่มีถอยเด๊ะ ไม่มีหนีเด๊ะ เป็นลูกผู้ชายถ้าไม่รุ้จักไว้ลายก็ตายเป็นผีเด๊ะ

Chorus : [ชาย]
ตื่นจากความฝันอันงดงามที่ผ่านมา ลืมตามองหาความเป็นจริงอยู่ข้างหน้า มันอาจเป็นทุกข์ที่ยากเกินจินตนา มาๆ (เข้ามา) มาๆ (เข้ามา) ดาหน้ากันเข้ามา [หญิง] สุดปลายตาธารากว้างไกล แต่ฉันยังคงต้องว่ายไป ลอยตามกระแสทุกข์ทน ข้างในใจตนทุกคนไป ฝั่งฝันยังไม่เห็นด้วยตา แต่ใจรับรู้อยู่ข้างใน ว่าสักวัน (ต้องมี) ปลายทาง (ต้องดี) ไม่มีวันจากไปไหน

Verse 2 :
[Buddha Bless] (Buddha Bless Rasta!. Buddha Bless Jah! Jah! Jah!. Buddha Bless Rasta!. Buddha Bless Jah! Jah! Jah! Jah!.) คนเรานี่หนาเกิดมาทุกคนต้องเจอปัญหา จะหนักจะเบาแล้วแต่กรรมเก่าที่เขาทำมา สู้ไปเกิดหนาสู้ไปเถิดหวาถึงทางจะมืดมน ใช้สติปัญญาบวกปัญหาแล้วอดทน ดวงชะตามันไม่มีอยู่ที่มือเรานี้ (หมอดูว่าแย่ หมอดูว่าแย่) ทำนายมาชะตาเรามันไม่ดีแน่ ฟันมาเหอะหมอ ธงหมอหักแน่ (ฮ่าๆๆๆ) ตายเป็นตายชีวาวายให้มันรู้กันไป ขอสู้สุดตัวไม่เคยกลัวหมดลมหายใจ เกิดมาก็ตัวเปล่าสู้ก็มีแต่กำไร ไม่มีเสียมีแต่ได้แล้วจะถอยได้ยังไง ยังไม่พอขออีกทีไอ้ที่เรียกว่าอุปสรรคนี้ เข้ามาอีกเด๊! เข้ามาอีกเด๊! ปัญหามาปัญญาเราก็มีแก้ ช่วยจัดชุดแย่ๆ ให้มากกว่านี้หน่อยเซ่ (Alright!)

[MAF] พื้นพิภพจักรวาลยันมหาสมุทร MAF! บุกให้สุดๆ พวกไม่สู้อย่ามาสู้ทำมึงสะดุด ปรี๊ด! เดือดปุดๆๆ A.R.Z. สวมมงกุฏ Best known I'm da queen Rap. Dj.Ma ซามูไรลายกูสามแถบ Fiona ร้อนนรกกูน่ะสวยแสบ M.A.F. น่ะแผดเผาแต้มสูงสุดเพราะกูเก๋า

Chorus :
[ชาย] ตื่นจากความฝันอันงดงามที่ผ่านมา ลืมตามองหาความเป็นจริงอยู่ข้างหน้า มันอาจเป็นทุกข์ที่ยากเกินจินตนา มาๆ (เข้ามา) มาๆ (เข้ามา) ดาหน้ากันเข้ามา [หญิง] สุดปลายตาธารากว้างไกล แต่ฉันยังคงต้องว่ายไป ลอยตามกระแสทุกข์ทน ข้างในใจตนทุกคนไป ฝั่งฝันยังไม่เห็นด้วยตา แต่ใจรับรู้อยู่ข้างใน ว่าสักวัน (ต้องมี) ปลายทาง (ต้องดี) ไม่มีวันจากไปไหน

[หญิง]
สุดปลายตาธารากว้างไกล แต่ฉันยังคงต้องว่ายไป ลอยตามกระแสทุกข์ทน ข้างในใจตนทุกคนไป ฝั่งฝันยังไม่เห็นด้วยตา แต่ใจรับรู้อยู่ข้างใน ว่าสักวัน (ต้องมี) ปลายทาง (ต้องดี) ไม่มีวันจากไปไหน

ตื่น (SANCTUARY)
Artist : GANCORE CLUB
Album : ก้านคอคลับ ๒
Produced by Spydamonkee
Lyrics : ก้านคอคลับ 2
Music : Joey Boy
Arranged by Spydamonkee & ม.ล.บวรชัย สุขสวัสดิ์

Thursday, September 13, 2007

(ความ)ในใจ

หลังจากที่โดนเด้งออกมาจากห้องนายเมื่อวาน

วันนี้ก็ได้พบปะและพูดคุยกัน

เป็นเวลา 2.30 ชั่วโมง

จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรกันบ้าง

งงๆ เหมือนกันอ่ะว่าจะเอายังไงกับตัวเอง



ทำไมฉันไม่เด็ดขาดให้ตลอดเวลานะ

พอได้ข้อมูลทางนี้ก็เอียงทางนี้

พอได้ข้อมูลอีกทางก็เอียงอีกที


แล้วฉันจะเดินทางไหนดี



หวั่นใจ และหวั่นใจไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

และสิ่งที่กำลังมาถึง...

สับสน วกวน วุ่นวาย และไม่มีคำตอบ...

Wednesday, September 12, 2007

หนักใจ

เหมือนวันนั้น...
ที่เคยลาออก
แต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว
มันหนักใจ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
แค่วันนี้ "ยัง"ไม่ได้ร้องไห้มากมาย
อย่างวันนั้น

วันนั้น 30 กันยา
วันนี้ก็กันยา...เหมือนกัน
หวังว่าฉันคงไม่เปลี่ยนงานทุกๆกันยานะ

หลังจากวันหนึ่งหมดแรงจากการหางานใหม่
ก็ไม่ได้อะไรต่อ
ค่อยๆ และปล่อยให้มันเป็นไป
..ตามที่ใครอยากจะกำหนด

จู่เช้าวันนั้น
เพื่อนคนนึงในโลกไซเบอร์ก็มาบอกว่า
"เฮ้ย ยูลองไปสมัครที่นี้มั้ย
ไอว่ายูน่าจะได้นะ"
มันเป็นบริษัทโมเดลลิ่ง
และเป็นงานบัญชี
ซึ่งความรู้ฉันก็มากมายเหลือเกิน
ตอนนั้นมีเวลา 1 วันในการเตรียมตัว
(เอ่อ คือ เยอะมากไง 1 วันเนี่ย)
เงินเดือนเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นดึงดูด
เพราะฉะนั้นก็เลยบอกเท้าให้ก้าวเดิน

วันที่ไปสัมภาษณ์ครั้งแรก
ก็ได้เจอกับเพื่อนไซเบอร์คนนั้นเป็นครั้งแรกเช่นกัน
เค้าก็ดีมากพาไปดูสถานที่ นู่นนี่
แว่บแรกที่เห็นออฟฟิศก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
...เพราะฉันเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง...
...แต่มาในรูปของความฝัน...

วันนั้นก็เลยไม่ได้สัมภาษณ์
กลับไปอีกครั้งวันจันทร์
พบว่า...แม่บ้านที่นั่นเป็นคนต่างชาติ
สัญชาติคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนบ้านเราทางภาคเหนือ
นั่นก็ไม่น่าตะลึงเท่ากับว่า...เค้าพูดได้สามภาษา
ภาษาไทยหล่อนนั้นไม่คล่อง
แต่อังกฤษนั้น...เล่นเอาชั้นอึ้งๆไปเหมือนกัน
(บางทีรถที่จอดอยู่อาจจะเป็นน้ำพักน้ำแรงของหล่อนก็ได้นะ)
ฉันเดาเอาน่ะ

จากนั้นฉันก็รอมาดามมา
จากเสียงตามสายที่เคยคุยกันแล้ว
คาดว่าหล่อนก็น่าจะมีอายุเหมือนกัน

(วันนั้น--ฉันเล่นของไปเยอะเหมือนกันนะ อิอิ)
(ไม่เชื่อ อย่าหลบหลู่)

รอ...
รอ...
รอ...

ขณะที่รอ...
ภาพจากล่องเสียงพูดได้เล่นเอาผิวหนังชั้นแทบไหม้
ทุกสิ่งอย่างเป็นอะไรที่เทรนดี้ และอิน
รวมถึงบรรยากาศในการทำงาน
การแต่งตัวของคนที่นั่น เล่นเอาฉันโก๊ะไปเลย
ไม่รู้จะเรียกได้ว่าอะไร...นอกจาก
(เริ่ม) กดดัน (ตัวเอง)

ปล่อยว่างและวาง
ฉันบอกตัวเองแบบนั้น

It's gonna be all right...(i guess)

และแล้ว สองชั่วโมงครึ่งผ่านไป
มาดามก็มา...
ความสวยของหล่อนทำเอาฉันโกรธไม่ลงเลย
นอกจากการแต่งตัวที่นีทแล้ว
การพูดจา ความฉลาดที่เห็นได้จากคำพูด
และดวงตาสีฟ้าที่บลิ้งๆ คู่นั้น
สะกดฉันนิ่งไม่ไหวติง
(เออๆ ของเค้าแรงเหมือนกันวุ้ย)

ฉันเองรู้สึกในใจเหมือนกันว่า
ชั้นจะได้งานนี้แน่
แต่ก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่อยากคาดหวังอ่ะ
ฉันเคยคิดเล่นๆ เหมือนกันว่า
ยังไงลองดูเชิงเค้าก่อน
ถ้าอยากทำจริงๆ
ก็บอกเค้าเลยว่า ขอทำแบบไม่เอาตังค์เดือนหนึ่ง
คิดๆอยู่ แต่...ยังไม่มีโอกาสได้พูด...

มาดามไม่ได้ถามอะไรชั้นมากมาย
เริ่องทั่วไป
แล้วก็รับฉัน...

ง่ายใช่ม๊ะ
ฉันรู้สึกว่า...
ถ้ามันจะเป็นของเรา...
...เราก็แค่เล่นไปตามบทเท่านั้นเอง

ตอนนี้ฉันอยู่ในขั้นกำลังจะเปลี่ยนงาน
ฉันไม่อาจพูดได้ว่าฉันได้งานใหม่แล้ว
เพราะถ้าชั้นไม่ผ่านขั้นทดลอง
นั่นก็หมายถึง ฉันเสียเวลาไปและต้องหางานอีกครั้ง

แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียทีเดียว
หากเอาเรื่องเงินหรือค่าตอบแทนเป็นตัวตั้ง
เริ่มตั้งแต่เกิดมา...เราก็ขาดทุนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
สิ่งที่จูงใจคงเป็น ความอยากลองมากกว่า
ฉันเองไม่แน่ใจว่า จริงๆแล้วจะทำได้มั้ยไอ้บัญชีเนี่ย
คนอื่นทำได้ ฉันก็น่าจะลองทำ...จริงมั้ย

ช่วงนี้เลยพยามหากำลังใจและให้กำลังใจตัวเอง
เผชิญกับสิ่งที่ตัวเองเลือก
ฉันไม่รู้หรอกว่า..
มันจะดีกว่าสิ่งที่มีและได้อยู่ในตอนนี้หรือเปล่า
ฉันก็แค่อยากลองมันไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะเจอ
ฉันเองก็เชื่อว่าวันหนึ่งจะเจอ
หรือหากมันไม่เจอ
อย่างน้อย..ทางที่เดินมาฉันก็ได้รู้ว่ามันยังไม่ใช่
ฉันไม่รู้หรอกว่า
ครั้งนี้ความเสี่ยงสูงแค่ไหน
แต่ฉันว่า ยังไงๆ ก็อยากลอง...
และฉันก็เขียนบล็อกขึ้นด้วยความรู้สึก..
ที่มันอึน อึน บอกไม่ถูก
หนักใจ เศร้าใจ ลาจาก และไม่รู้...

I dont know...
It might be better...
But i still dont know...
It's just...

It can be right one...
Or maybe wrong...

I dont know...
I wanna give it a try...
That's what i knew...
And I guess...
That's enough to go beyond myself....

I dont know...