Monday, October 29, 2007

อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น

พระราชดำรัสในหลวง “ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น”

>> อิ่มเดียว หลับเดียว
>> ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา
>> ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครอง ราชย์ใหม่ๆ
>> ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น (กางเกงขาสั้น) ในยามดึก
>> เวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับ ต่างทำหน้าที่กัน
>> ตามจุดต่างๆ ไม่มีบกพร่อง ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา
>> ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน
>> เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัย
>> แด่องค์พระประมุขของชาติ
>> จอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร
>> แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี
>> ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก
>> ใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา

>> ทรงพระราชดำเนินไปรเวท (เดินเล่น) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ
>> แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวร ประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า

>> ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี
>> แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี...
>> ตอนนั้น ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า

>> ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต
>> ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า

>> จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า“ชีวิตมนุษย์เรานี่อิ่มเดียวหลับเดียวเท่านั้น”

>>ทรงเสด็จพระราช ดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์

>> ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร

>> จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้าน
>> อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา

>> จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า“ท่านมหาขอรับ

>> คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่า อย่างไรขอรับ”

>> ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า
>> “โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ” ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ

>> ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า…..

>> โยมเฉลิมศักดิ์คำนี้น่ะ

>> ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อ

>> เข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์

>> ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ ชีวิตเป็นสุข
>> ให้รู้จักคำว่าพอ เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน

>> พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน
>> จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้น มนุษย์เรา
>> นั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีก

>> นอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยาก ได้ให้มันมากขึ้นไปอีก

>> ถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียว โลกก็จะเป็นสุข

>> ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว

>> คนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุก น้ำปลา หรือกินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น

>> กินเข้าไปไม่ได้แล้ว จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ

>> นอนในสลัมหรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น
>> เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน
>> ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ

ที่มา:http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8704

No comments: