Monday, October 29, 2007

อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น

พระราชดำรัสในหลวง “ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น”

>> อิ่มเดียว หลับเดียว
>> ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา
>> ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครอง ราชย์ใหม่ๆ
>> ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น (กางเกงขาสั้น) ในยามดึก
>> เวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับ ต่างทำหน้าที่กัน
>> ตามจุดต่างๆ ไม่มีบกพร่อง ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา
>> ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน
>> เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัย
>> แด่องค์พระประมุขของชาติ
>> จอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร
>> แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี
>> ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก
>> ใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา

>> ทรงพระราชดำเนินไปรเวท (เดินเล่น) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ
>> แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวร ประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า

>> ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี
>> แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี...
>> ตอนนั้น ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า

>> ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต
>> ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า

>> จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า“ชีวิตมนุษย์เรานี่อิ่มเดียวหลับเดียวเท่านั้น”

>>ทรงเสด็จพระราช ดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์

>> ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร

>> จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้าน
>> อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา

>> จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า“ท่านมหาขอรับ

>> คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่า อย่างไรขอรับ”

>> ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า
>> “โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ” ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ

>> ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า…..

>> โยมเฉลิมศักดิ์คำนี้น่ะ

>> ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อ

>> เข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์

>> ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ ชีวิตเป็นสุข
>> ให้รู้จักคำว่าพอ เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน

>> พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน
>> จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้น มนุษย์เรา
>> นั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีก

>> นอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยาก ได้ให้มันมากขึ้นไปอีก

>> ถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียว โลกก็จะเป็นสุข

>> ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว

>> คนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุก น้ำปลา หรือกินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น

>> กินเข้าไปไม่ได้แล้ว จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ

>> นอนในสลัมหรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น
>> เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน
>> ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ

ที่มา:http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8704

ถือ (ก็) หนัก วาง (ก็) เบา

เคยมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ
ทว่า ครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา

พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น
ก็ขอสรุปเช่นนั้นก็ขอสรุปว่า
ใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า

“สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ
ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น”
ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น

เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์

ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด

ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์น้อย

ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์

ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “ความปล่อยวาง”

ทำไมจึงต้องปล่อยวาง

เพราะทุกอย่าง “มีความว่าง” มาแต่เดิม

คนที่หลงกอด “ความว่าง”
โดยคิดว่าเป็น “ความมี” ทำไมจะไม่ทุกข์ ?

พระบวชใหม่รูปหนึ่ง
เดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ

ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณ
เพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั้นเอง
จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งใส่สูท
ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำเดินเข้ามาหาท่าน
พร้อมทั้งชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย

พระรูปตกตะลึง รีบเดินหนี

แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว
แต่เสียงด่าของเขายังคงก้อง
อยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เมื่อกลับถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์
ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน
พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตน
ซึ่งเป็นพระและตนเองก็จำได้ว่า
ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด

คิดมาถึงขั้นว่า ตนไม่ผิด
แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น
วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์
แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ

เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตร
เดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม
ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม
ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่อง
ว่าเหตุจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พอ
ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป
จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด

ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน
พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่งสวมสูท ผูกเทคไท
ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า
“อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์”

ภาพที่เห็นก็คือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น
นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่ง
ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่
พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ
เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
พอเห็นท่านเท่านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า

“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นกล้าฯ บัดนี้
พระองค์ทรงกลับมาครองอยุธยาอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ...”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกำเฉิบๆ

พลันที่ท่านประเมินว่าชายแต่งตัวดี
คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
เป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้นเอง

ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน
อยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวัน
ก็พลันอันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย

ทำไม
เราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน ?
แต่กับคนปกติ
ทำไม เราจึงมีความรู้สึกว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด ?

ที่มา: http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8704

หลักการทำสมาธิเบื้องต้น

จิตของคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยทำสมาธินั้น ก็มักจะมีสภาพเหมือนม้าป่าพยศที่ยังไม่เคยถูกจับมาฝึกให้เชื่อง มีการซัดส่ายไปในทิศทางต่างๆ อยู่เป็นประจำ การทำสมาธินั้นก็เหมือนการจับม้าป่านั้นมาล่ามเชือก หรือใส่ไว้ในคอกเล็กๆ ไม่ยอมให้มีอิสระตามความเคยชิน เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ม้านั้นก็ย่อมจะแสดงอาการพยศออกมา มีอาการดิ้นรน กวัดแกว่ง ไม่สามารถอยู่อย่างนิ่งสงบได้ ถ้ายิ่งพยายามบังคับ ควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดิ้นรนมากขึ้นเท่านั้น

การจะฝึกม้าป่าให้เชื่องโดยไม่เหนื่อยมากนั้นต้องใจเย็นๆ โดยเริ่มจากการใส่ไว้ในคอกใหญ่ๆ แล้วปล่อยให้เคยชินกับคอกขนาดนั้นก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ลดขนาดของคอกลงเรื่อยๆ ม้านั้นก็จะเชื่องขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่แสดงอาการพยศอย่างรุนแรงเหมือนการพยายามบีบบังคับอย่างรีบร้อน เมื่อม้าเชื่องมากพอแล้ว ก็จะสามารถใส่บังเหียนแล้วนำไปฝึกได้โดยง่าย

การฝึกจิตก็เช่นกัน ถ้าใจร้อนคิดจะให้เกิดสมาธิอย่างรวดเร็วทั้งที่จิตยังไม่เชื่อง จิตจะดิ้นรนมาก และเมื่อพยายามบีบจิตให้นิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ จิตจะยิ่งเกิดอาการเกร็งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงความกระด้างของจิตที่เพิ่มขึ้น (จิตที่เกร็งจะเป็นจิตที่กระด้าง ซึ่งต่างจากจิตที่ผ่อนคลายจะเป็นจิตที่ประณีตกว่า) แล้วยังจะทำให้เหนื่อยอีกด้วย ถึงแม้บางครั้งอาจจะบังคับจิตไม่ให้ซัดส่ายได้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจิตมีอาการสั่น กระเพื่อมอยู่ภายใน

เหมือนการหัดขี่จักรยานใหม่ๆ ถึงแม้จะเริ่มทรงตัวได้แล้ว แต่ก็ขี่ไปด้วยอาการเกร็ง การขี่ในขณะนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว การทรงตัวก็ยังไม่นิ่มนวลราบเรียบอีกด้วย ซึ่งจะต่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับการขับขี่ของคนที่ชำนาญแล้ว ที่จะสามารถขี่ไปได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างสบายๆ ราบเรียบ นุ่มนวล ไม่มีอาการสั่นเกร็ง

หลักทั่วไปในการทำสมาธินั้น พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1.) หาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำสมาธิให้มากที่สุดก่อนที่จะทำสมาธิ เพื่อจะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องลองผิดลองถูก และไม่หลงทาง ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ หรือเข้าใจผิด นอกจากนี้ยังป้องกันความฟุ้งซ่านที่อาจจะเกิดขึ้นจากความลังเลสงสัยอีกด้วย

2.) เลือกวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด แล้วลองทำไปสักระยะหนึ่งก่อน ถ้าทำแล้วสมาธิเกิดได้ยากก็ลองวิธีอื่นๆ ดูบ้าง เพราะจิตและลักษณะนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีที่เหมาะสมของแต่ละคนจึงต่างกันไป บางคนอาจจะเหมาะกับการตามดูลมหายใจ ซึ่งอาจจะใช้คำบริกรรมว่าพุทธ-โธ หรือ เข้า/ออก ประกอบ บางคนอาจจะเหมาะกับการแผ่เมตตา บางคนถนัดการเพ่งกสิณ เช่นเพ่งวงกลมสีขาว ฯลฯ

ซึ่งวิธีการทำสมาธินั้นมีมากถึง 40 ชนิด เพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละประเภท แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด ก็คืออานาปานสติ คือการตามสังเกต ตามรู้ลมหายใจเข้าออกนั่นเอง (ดูรายละเอียดได้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ในหัวข้อวิธีแก้ไขนิวรณ์ 5/อุทธัจจกุกกุจจะ และในเรื่องอานาปานสติสูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ) เพราะทำได้ในทุกที่ โดยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ใดๆ เลย ทำแล้วจิตใจเย็นสบาย ไม่เครียด

3.) อยู่ใกล้ผู้รู้ หรือรีบหาคนปรึกษาทันทีที่สงสัย เพื่อไม่ให้ความสงสัยมาทำให้จิตฟุ้งซ่าน

4.) พยายามตัดความกังวลทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นออกไปให้มากที่สุด โดยการทำงานทุกอย่างที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะทำสมาธิ หรือถ้าทำสมาธิไปแล้ว เกิดความกังวลถึงการงานใดขึ้นมา ก็ให้บอกกับตัวเองว่าตอนนี้เป็นเวลาทำสมาธิ ยังไม่ถึงเวลาทำงานอย่างอื่น เอาไว้ทำสมาธิเสร็จแล้วถึงไปทำงานเหล่านั้นก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ถ้าแก้ความกังวลไม่หายจริงๆ ก็หยุดทำสมาธิแล้วรีบไปจัดการเรื่องนั้นๆ ให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ ถ้าคิดว่าขืนนั่งต่อไปก็เสียเวลาเปล่า เมื่องานนั้นเสร็จแล้วก็รีบกลับมาทำสมาธิใหม่

5.) ก่อนนั่งสมาธิถ้าอาบน้ำได้ก็ควรอาบน้ำก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อนจะทำให้โล่งสบายตัว เมื่อกายสงบระงับ จิตก็จะสงบระงับได้ง่ายขึ้น

6.) ควรทำสมาธิในที่ที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ไม่พลุกพล่านจอแจ

7.) ก่อนนั่งสมาธิควรเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมาช้าๆ โดยยึดจิตไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งในเท้า ข้างที่กำลังเคลื่อนไหว เช่น ปลายเท้า หรือส้นเท้า โดยควรมีคำบริกรรมประกอบ เช่น ขวา/ซ้าย ฯลฯ) หรือสวดมนต์ก่อน เพื่อให้จิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่งก่อน จะทำให้นั่งสมาธิได้ง่ายขึ้น

8.) การนั่งสมาธินั้นควรนั่งในท่าขัดสมาธิ หลังตรง (ไม่นั่งพิงเพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย) หรือถ้าร่างกายไม่อำนวย ก็อาจจะนั่งบนเก้าอี้ก็ได้ นั่งบนพื้นที่อ่อนนุ่มตามสมควร ทอดตาลงต่ำ ทำกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง (เพราะการเกร็งจะทำให้ปวดเมื่อย และจะทำให้จิตเกร็งตามไปด้วย) นั่งให้ร่างกายอยู่ในท่าที่สมดุล มั่นคง ไม่โยกโคลงได้ง่าย มือทั้ง 2 ข้างประสานกัน ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะกันเบาๆ วางไว้บนหน้าตัก หลับตาลงช้าๆ หลังจากนั้นส่งจิตไปสำรวจตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ทั่วทั้งตัว เพื่อดูว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดที่เกร็งอยู่หรือไม่ ถ้าพบก็ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้หายเกร็ง โดยไล่จากปลายเท้าทีละข้าง ค่อยๆ สำรวจเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงสะโพก แล้วย้ายไปสำรวจที่ปลายเท้าอีกข้างหนึ่ง ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นก็สำรวจจากสะโพก ไล่ขึ้นไปจนถึงยอดอก แล้วสำรวจจากปลายนิ้วมือทีละข้าง ไล่มาจนถึงไหล่ เมื่อทำครบสองข้างแล้ว ก็สำรวจไล่จากยอดอกขึ้นไปจนถึงปลายเส้นผม ก็จะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั่วร่างกาย จากนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ สัก 3 รอบ โดยมีสติอยู่ที่ลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก พร้อมกับทำจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มทำสมาธิตามวิธีที่เลือกเอาไว้

9.) อย่าตั้งใจมากเกินไป อย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่าวันนั้นวันนี้จะต้องได้ขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะจะทำให้เคร่งเครียด จิตจะหยาบกระด้าง และจิตจะไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมัวแต่ไปจดจ่ออยู่กับผลสำเร็จซึ่งยังไม่เกิดขึ้น จิตจะพุ่งไปที่อนาคต เมื่อจิตไม่อยู่ที่ปัจจุบันสมาธิก็ไม่เกิดขึ้น

ให้ทำใจให้สบายๆ ผ่อนคลาย คิดว่าได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วค่อยๆ รวมจิตเข้ามาที่จุดที่ใช้ยึดจิตนั้น (เช่นลมหายใจ และคำบริกรรม) แล้วคอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้น (เช่น ความหยาบ/ละเอียด ความยาว ความลึก ความเย็น/ร้อน ของลมหายใจ) จิตก็จะอยู่ที่ปัจจุบัน แล้วสมาธิก็จะตามมาเอง ถ้าฟุ้งซ่านไปบ้างก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของจิต อย่ากังวล อย่าอารมณ์เสีย (จะทำให้จิตหยาบขึ้น) เพราะคนอื่นๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น เมื่อรู้ตัวว่าฟุ้งออกไปแล้ว ก็ใจเย็นๆ กลับมาเริ่มทำสมาธิใหม่ แล้วจะดีขึ้นเรื่อยๆ เอง

10.) ใหม่ๆ ควรนั่งแต่น้อยก่อน เช่น 5 - 15 นาที แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40, ... นาที ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อยๆ ปรับตัว เมื่อนั่งไปแล้วหากรู้สึกปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงจะขยับ เพราะทุกครั้งที่มีการขยับตัวจะทำให้จิตกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้ และโดยปรกติแล้วถ้าทนไปได้ถึงจุดหนึ่ง เมื่ออาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง และมักจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นอาการของปิติที่เกิดจากสมาธิ

11.) การทำสมาธินั้น เมื่อใช้สิ่งไหนเป็นเครื่องยึดจิต ก็ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเราทั้งหมดไปรวมเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ อยู่ที่จุดยึดจิตนั้น เช่น ถ้าใช้ลมหายใจ (อานาปานสติ) ก็ทำความรู้สึกว่าตัวเราทั้งหมดย่อส่วนเป็นตัวเล็กๆ ไปนั่งอยู่ที่จุดที่รู้สึกว่าลมกระทบอย่างชัดเจนที่สุด เช่นปลายรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือริมฝีปากบน เป็นต้น ให้ทำความรู้สึกที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว ไม่ต้องเลื่อนตามลมหายใจ เหมือนเวลาเลื่อยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จุดที่เลื่อยสัมผัสกับไม้เพียงจุดเดียว ไม่ต้องมองตามใบเลื่อย ก็จะรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังเลื่อยเข้าหรือเลื่อยออก เมื่อจิตอยู่ที่จุดลมกระทบเพียงจุดเดียว ก็จะรู้ทิศทาง และลักษณะของลมได้เช่นกัน

12.) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล เพราะทั้งหมดเป็นเพียงอาการของจิต พยายามตั้งสติเอาไว้ให้มั่นคง ตราบใดที่ไม่กลัว ไม่ตกใจ ไม่ขาดสติ ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ทำใจให้เป็นปรกติ แล้วคอยสังเกตสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถ้าเห็นภาพที่น่ากลัวปรากฏขึ้นมา หรือรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวใดๆ ก็ตาม ให้แผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น แล้วคิดว่าอย่าได้มารบกวนการปฏิบัติของเราเลย ถ้าไม่หายกลัวก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วพยายามอย่าใส่ใจถึงสิ่งที่น่ากลัวนั้นอีก ถ้าแก้ไม่หายจริงๆ ก็ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาวๆ แล้วค่อยๆ ถอนจากสมาธิออกมา เมื่อใจเป็นปรกติแล้วถึงจะทำสมาธิใหม่อีกครั้ง สำหรับคนที่ตกใจง่าย ก็อาจนั่งสมาธิหน้าพระพุทธรูป หรือนั่งโดยมีเพื่อนอยู่ด้วย ก่อนนั่งก็ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง

13.) ถ้าจิตไม่สงบ ก็ลองแก้ไขตามวิธีที่ได้อธิบายเอาไว้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ซึ่งได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว

14.) เมื่อจะออกจากสมาธิ ควรแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายก่อน โดยการระลึกถึงความปรารถนาให้ผู้อื่น และสัตว์ทั้งหลายมีความสุขด้วยใจจริง จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้น ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (ระลึกให้ด้วยใจ) แล้วหายใจยาวๆ ลึกๆ สัก 3 รอบ พร้อมกับค่อยๆ ถอนความรู้สึกจากสมาธิช้าๆ เสร็จแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น บิดเนื้อบิดตัวคลายความปวดเมื่อย แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

15.) เมื่อตั้งใจจะทำสมาธิให้จริงจัง ควรงดเว้นจากการพูดคุยให้มากที่สุด เว้นแต่เพื่อให้คลายความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจ เพราะการคุยกันนั้นจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน คือในขณะคุยกันก็มีโอกาสทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ ทำให้จิตหยาบกระด้างขึ้น และเมื่อทำสมาธิก็จะเก็บมาคิด ทำให้ทำสมาธิได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการคุยกับคนที่สมาธิน้อยกว่าเรา นอกจากนี้ ควรเว้นจากการร้องรำทำเพลง การฟังเพลง รวมถึงการดูการละเล่นทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มกามฉันทะ ซึ่งเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่ง (ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) อันเป็นอุปสรรคต่อการทำสมาธิ

ที่มา: http://www.dhammathai.org/treatment/concentration/concentrate02.php

20 ม้วน..

ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่
ให้สะใภ้..ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ
มิหลงใหล..ใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ
ดูน้ำใส และปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้
มิใช่อยู่ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว
หูตามัว มาใกล้เคียง
เล่าท่อง อย่าละเลี่ยง
ยี่สิบ(ไม้)ม้วน..จำจงดี

*นับได้ 20 หรือเปล่าเนี่ย*
T_T

กาพย์เห่ชมเครื่องหวาน

๏ สังขยาหน้าไข่คุ้น เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที สมรแม่ มาแม่
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม เพียบแอ้อกอร ๚

สังขยาหน้าตั้งไข่
ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสลง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง
แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ

ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ
แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ
ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย

ลำเจียกชื่อขนม
นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย
โหยไห้หาบุหงางาม

มัศกอดกอดอย่างไร
น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ
ขนมนามนี้ยังแคลง

ลุดตี่นี้น่าชม
แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง
แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย

ขนมจีบเจ้าจีบห่อ
งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย
ชายพกจีบกลีบแนบเนียน

๏ รสรักยักลำนำ
ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน
เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม

ทองหยิบทิพย์เทียมทัด
สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม
ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ

ขนมผิงผิงผ่าวร้อน
เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล
เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง

รังไรโรงด้วยแป้ง
เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง
ยังยินดีด้วยมีรัง

ทองหยอดทอดสนิท
ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง
แต่ลำพังสองต่อสอง

๏ งามจริงจ่ามงกุฎ
ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง
สะอิ้งน้องนั้นเคยยล

บัวลอยเล่ห์บัวงาม
คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล
สถนนุชดุจประทุม

ช่อม่วงเหมาะมีรส
หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม
หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน

ฝอยทองเป็นยองใย
เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์
เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚

กาพย์เห่ชมเครื่องคาว

๏ แกงไก่มัสมั่นเนื้อ นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์ พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกให้หวนแสวง ๚

มัสมั่นแกงแก้วตา
หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง
แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา

ยำใหญ่ใส่สารพัด
วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา
ยี่สุ่นล้ำย้ำยวนใจ

ตับเหล็กลวกล่อนต้ม
เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน
ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง

หมูแนมแหลมเลิศรส
พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง
ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น
วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย
ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ

เทโพพื้นเนื้อท้อง
เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน
ของสวรรค์เสวยรมย์

๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า
ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม
ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น

ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ
รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น
เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ

๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม
แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ
ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม

๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด
ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม
สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์

ล่าเตียงคิดเตียงน้อง
นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล
ยลอยากนิทรคิดแนบนอน

๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า
รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์
ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง

รังนกนึ่งน่าซด
โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง
เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน

ไตปลาเสแสร้งว่า
ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ
ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ

ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง
เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน
ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

" ความแตกต่างระหว่างสติกับสมาธิ "

เนื่องจากสติเป็นธรรมเครื่องรักษาจิตและสติจำเป็นในทุกกรณีดังนั้นการรู้จักเจริญสติจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการศึกษาพุทธธรรม
คำถามแรกที่มักจะถามกันคือสติกับสมาธิต่างกัน
อย่างไร?
สาเหตุของการตั้งคำถามนั้นเกิดจากว่าจิตจะกำหนดอารมณ์ได้นั้นต้องใช้สติและต้องใช้สมาธิจนทำให้แยกจากกันแทบไม่ออก
เพื่อความเข้าใจของความต่างกันระหว่างสติกับสมาธิจึงต้องยกอุปมาดังต่อไปนี้
ถ้าอุปมาจิตเหมือนลูกวัวที่พึ่งอย่านมจากแม่แล้วผูกลูกวัวไว้กับหลักเชือกที่ผูกคือสติอารมณ์ที่ให้จิตกำหนด(ในที่นี้ขอใช้ลมหายใจ)คือหลัก
ในตอนแรกที่ผูกนั้นลูกวัวจะดิ้นรนเต็มที่เพื่อจะไปกินนมแม่เปรียบเหมือนจิตที่คุ้นชินกับการเสพอารมณ์ต่างๆจากภายนอกก็จะดิ้นรนเพื่อจะไปเสพย์อารมณ์ที่คุ้นเคยเชือกจะดึงลูกวัวไม่ให้ออกจากหลักเปรียบเหมือนสติที่คอยดึงจิตให้อยู่กับลมหายใจ
ไม่ให้ไปอยู่กับอารมณ์อื่นเมื่อลูกวัวดิ้นไปไหนไม่ได้นานเข้าลูกวัวก็จะหยุดดิ้นและหมอบลงอยู่ที่หลัก
นั้นเองภาวะที่ลูกวัวไม่ดิ้นรนและหมอบลงอยู่ที่หลักนั้นคือสมาธิ
จากอุปมานี้จะเห็นว่าสติต่างกับสมาธิดังนี้คือ
สติมีลักษณะระลึกได้ไม่หลงลืมคือตามระลึกถึง
ลมหายใจไว้เสมอไม่ให้คลาดไปเหมือนเชือกที่ดึงลูกวัวไว้
การที่จิตไม่คลาดไปจากอารมณ์เป็นการตั้งมั่น
แบบหนึ่งของจิตท่านเปรียบอีกอย่างว่าเหมือน
เสาระเนียดที่ปักลงมั่นในอารมณ์(ระเนียดคือรั้วที่ปักเสารายตลอดไป,เสาค่าย)คือไม่ให้จิตหลุดไปกับอารมณ์ไหนสติจึงมีอรรถ(ความหมาย)ว่าไปตั้งไว้คือตั้งจิตไว้กับอารมณ์เช่นลมหายใจไม่ให้ไปไหนสติจึงมีการมุ่งหน้าต่ออารมณ์เป็นผล
ส่วนสมาธินั้นมีลักษณะไม่ซัดส่ายไปตามอารมณ์
คือนิ่งอยู่กับอารมณ์นั้นๆที่กำหนดอยู่ไม่ฟุ้งซ่านไปเหมือนการหมอบนิ่งของลูกวัวการนิ่งของจิตเป็นการตั้งมั่นแบบหนึ่งของจิตท่านเปรียบอีกอย่างว่าเหมือนเปลวเทียนที่นิ่งยามไม่ถูกลมพัดคือจิตไม่ซ่านไปไหนสมาธิจึงมีอรรถว่าให้ยึดมั่นคือตั้งไว้ซึ่งสหชาติปัจจัยทั้งหลายโดยชอบ.คือมีจิตมั่นแน่วแน่อยู่กับอารมณ์นั้นสมาธิจีงมีความไม่หวั่นไหวความสงบ
เป็นผล
เหตุใดการเจริญสติแล้วได้สมาธิ?
เพราะสมาธิเป็นกุศลธรรมที่มีลักษณะเป็นประธาน
เป็นใหญ่กุศลธรรมอื่นๆต้องโน้มไปหาอธิบายว่า
ไม่ว่าจะเจริญกุศลธรรมใดๆก็ตามผลของการเจริญนั้นต้องมีสมาธิเป็นผลด้วยเสมอ
เหตุใดการเจริญสมาธิต้องผ่านการเจริญสติ?
เพราะสติเป็นอธิบดีไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องผ่านการสั่งการจากอธิบดีก่อนจึงจะทำได้ด้วยเหตุนี้สติจึงจำเป็นในทุกกรณีการเจริญสมาธิก็เช่นกันต้องผ่านสติก่อน
การเจริญกุศลธรรมอื่นๆก็ต้องผ่านสติก่อนเหมือนกัน
เมื่อสมาธิเป็นประธานและสติเป็นอธิบดีอันเป็นตำแหน่งที่ใหญ่พอๆกันดังนั้นเวลากำหนดอารมณ์จึงต้องใช้ทั้งสติและสมาธิพร้อมๆกันจนทำให้แยกจากกันจนแทบไม่ได้การเจริญสมาธิก็เป็นการเจริญสติไปในตัวในขณะที่การเจริญสติก็เป็นการเจริญสมาธิไปในตัวเช่นกัน
สรุปคือการเอาจิตไปตั้งไม่ให้หลุดเป็นหน้าที่ของสติการที่จิตตั้งได้ไม่หลุดไปไหนเป็นหน้าที่ของสมาธิ
ความต่างกันของสติและสมาธิสามรถดูได้จากเหตุใกล้อีกทางหนึ่ง
คือสตินั้นมีความจำมั่นเป็นเหตุใกล้คือเมื่อหมายรู้อะไรบ่อยๆมากๆจนจำได้แม่นยำจำได้จนขึ้นใจสติก็จะระลึกถึงสิ่งที่ถูกหมายรู้ได้ง่ายเช่นเมื่อหมายรู้เกี่ยวกับลมหายใจบ่อยๆเช่นอ่านท่องสนทนาใคร่ครวญเกี่ยวกับพระสูตรที่แสดงความสำคัญของอานาปานสติมากๆจดจำความสำคัญของอานาปานสติได้จนขึ้นใจก็จะมีสติที่ลมหายใจได้ง่ายขึ้น
ส่วนสมาธินั้นมีความสุขเป็นเหตุใกล้คือเมื่อจิตมีสุขอยู่กับอารมณ์นั้นเช่นกับลมหายใจจิตก็ไม่ไปอยู่กับอารมณ์อื่นจิตก็นิ่งอยู่กับลมหายใจสมาธิก็เกิดขึ้น
ทั้งสติกับสมาธิเป็นธรรมที่ต้องมีปัญญากำกับอยู่เสมอคือเมื่อพูดถึงสติก็ต้องคิดถึงสัมปชัญญะด้วย
และเมื่อถึงพูดถึงสมาธิก็ต้องนึกถึงไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญาคือต้องมองว่าสมาธิเป็นหนึ่งในไตรสิกขา
ไม่ใช่มองแยกออกมาโดดๆ

ที่มา : http://www.budpage.com/budboard/show_content.pl?b=1&t=516

Friday, October 26, 2007

Who are you?

06.00 น.

ฉันอยู่ในงานแต่งงานของตัวเอง
ซึ่งดูเหมือนว่าฉันเพิ่งจะรู้จักกับเจ้าบ่าวได้ไม่นาน
และไม่ดีพอ..

ดูเหมือนการแต่งงานในครั้งนี้
เกิดขึ้นเพราะฉันกำลังหนีอะไร/ใครสักอย่าง
แล้วจำเป็นต้องมีการแต่งงาน
ก็ได้ให้ผู้ใหญ่ไปตกลงกับผู้ชายคนนึง
ซึ่งเป็นลูกชายของอา
หรือหลานชายของแม่นมฉัน..
ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเค้ามาก่อน
แต่เพราะความจำเป็น...จึงเกิดงานนี้ขึ้น

งานแต่งงานมีขึ้นที่..ไหนไม่รู้
เป็นคล้ายๆ ฮอลล์ที่ไหนสักที
ภาพที่กำลังฉายเป็นภาพความสัมพันธ์ของเรา
แขกเหรื่อก็มีเท่าที่สนิทกัน

ฉันไมได้อยู่ในชุดสีขาวฟูฟ่อง
กลับเป็นชุดลำลองและสวมเสื้อแจ็คเก็ทยีนตัวโปรด
และนั่นก็ถือเป็นชุดเจ้าสาวของฉัน..

ขณะที่ฉันกำลังต้อนรับผู้คน..
เค้ากำลังเดินเข้ามา..
หัวใจสั่นและเต้นแรง
และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน
ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่านแววตาของเค้า
และความรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ใกล้..
มันทำให้ฉันมั่นใจในตัวเค้า
และความรักแรกพบที่ก่อเกิดอยู่ชั่วขณะนั้น

ฉันลืมตาขึ้นมา..
พร้อมกับความรู้สึกที่ยังอวลอยู่รอบๆกาย

เธอเป็นใครกันนะ..
เพราะในความจริงแล้ว..
อาคนนั้นมีลูกสาวเพียงคนเดียว..

แต่ก็ไม่เสียใจนะ
เพราะวันหนึ่งเราคงได้รักกัน..
เธอเองก็คงรอที่จะพบฉัน..เหมือนที่ฉันรอเธอเช่นกัน
รักษาสุขภาพด้วยล่ะ..

Wednesday, October 24, 2007

งานหนังสือฯ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ผ่านไปแวะเยี่ยมชมงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์มา
ผู้คนล้นหลาม
น่าดีใจแทนนักเขียน...
ความจริง เป็นนักเขียนไม่น่าจะไส้แห้งอย่างที่หลายคนพยามบอกกล่าว
ก็แหม...คิดว่าหนังสือเค้าแจกฟรีกันรึไง
คนถึงเพรียบขนาดน้าน...
แทบจะมะมีรูเดินอยู่แระ
ต้องเอายาดมและผู้ติดตาม(ไปหิ้วหนังสือ)ไปด้วย
..เฮ้อ!.. นี่ช้านคงจะแก่แล้วจริงๆ
T_T

ขอความเห็นหน่อย
ไปงานหนังสือทีไรแล้วรู้สึกแปลกๆทู้กที
ตอนแรกก็มะรุว่าเป็นอะไร
แต่คราวนี้รู้แระ...
สังเกตมั้ย...ทั้งที่เป็นงานหนังสือแต่ทำม้ายทำไมเสียงดั๊งดังอ่ะ
...
น่าสลดใจ
งานนี้อ่านหนังสือมะรู้เรื่องเร้ยยย...
T_T"

เห็นแต่ละคนได้หนังสือและอื่นๆกันมาเป็นกอบเป็นกำ
ทำอย่างกับว่าจะมีงานหนังสือครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
อย่างว่าแต่ชาวบ้านเค้า..ช้านเองก็มะต่างเลย..
เบาตัวเชียว...T_T"

ร้านบางร้านก็ขายของโห้ดโหด..
บางอย่างก็แพงมากไป
อย่างโป๊ดสะการ์ด...ใบละ 20 บาท
..อะไรมันจะขนาดนั้น..
แต่ก็นะ
งานนี้นานาจิตตัง...
จิตต่าง...กระเป๋า(ตังค์)ก็ต่างด้วยเช่นกัน

อิอิ
^_^

ป.ล.งานนี้บังเอิญป๊ะกับคุณแทนไทด้วยนะ
งบกระจุยแล้ว...จำต้องพานพบไม่อาจผูกพันไปก่อน
T_T

Tuesday, October 9, 2007

รู้จักฉัน 1

-copy (อย่าforward) อีเมล์ฉบับนี้
-แปะมันลงในอีเมลใหม่
-เปลี่ยนคำตอบทั้งหมดให้เหมาะกับตัวเองซะ
-แล้วส่งไปให้กลุ่มคนกลุ่ม>ใหญ่ ๆ ที่คุณรู้จัก *รวมทั้ง* คนที่ส่งให้คุณด้วย
**เรื่องของเรื่องก็ คือคุณจะ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนคุณมากขึ้น **

>>>>>1.คำทักทายเวลาเจอเพื่อน : ฮาหลู ฮาหลู
>>>>2.คำพูดติดปากของคุณละ : เหอเหอเหอ
>>>>3.คุณทำอะไรอย่างแรกในตอน เช้า : ลืมตา
>>>>4.ถ้ามีคนบอกว่าคุณ ขี้เหร่คุณจะตอบว่าอย่างไร : อืม..ขอบคุณ
>>>>5.ถ้ามีคนชมคุณว่าคุณหน้าตาดี คุณจะตอบว่าไง : ก็ขอบคุณอีกอ่ะ
>>>>6.มีแฟนคนแรกตอนอายุกี่ขวบ : จำไม่ได้แล้วอ่ะ
>>>>7.ถ้าให้ไปเที่ยวคุณอยากไปเที่ยวที่ไหน : คอสตาริก้า
>>>>8.ทำไมล่ะ : เหมือนมีอะไร//ใครรออยู่
>>>>9.ใคร : นั่นสิใคร
>>>>10.สิ่งไหนที่คุณทำ แล้วคิดว่ายาก และท้อที่สุด : ไม่มี ไม่รู้สึกอ่ะ
>>>>11.เพื่อนที่สนิทที่ สุด : ไม่เอาคำว่า *สนิท* มากดดันเพื่อน
>>>>12.เพื่อนในอินเตอร์เน็ตที่สนิทที่สุด>>: อ่านข้อ 11 ใหม่ได้มะ
>>>>13.คุณฟังเพลง อะไรอยู่ตอนนี้ : AYO Technology
>>>>14.คนร้องเพลงที่ว่าเป็นใคร : 50 Cent
>>>>15.เพลงอะไรที่คุณชอบที่สุด : เพลงชาติมั้ง ฟังทุกวัน วันละสองครั้ง
>>>>16.แล้วเราอ่ะชื่อไร : นั่นสิ ชื่อไรหว่า
>>>>17.คุณชอบสีไร : สีรุ้ง
>>>>18.ทำไม : เป็นสีหนึ่งที่มีความหลากหลายอยู่ในตัว
>>>>19.หลังจากตอบเมลล์นี้แล้วคุณจะทำ ไร : ก้อส่งต่อไง
>>>>20.คุณอยากบอกอะไรกับคนที่คุณส่งเมลล์ให้ : โทษทีว่ะ
>>>>21.มีคนนั้นในใจรึยังเอ่ย : คนไหนอ่ะค่ะ
>>>>22.ทำไมถึงเก็บเค้าไว้ในใจหละ : เพราะว่าไม่อยาก(ไว้)นอกใจไง
>>>>23.เรื่องดีใจล่าสุดของคุณ : ไม่มี
>>>>24.เรื่องเสียใจล่าสุดละ : ไม่มี
>>>>25.เกิดวันอะไร วันที่และ เดือน ด้วย : 12/02/xx
>>>>27.อยากได้อะไร : ไม่อยากได้..
>>>>28.ขอพรได้หนึ่งข้ออยากจะขออะไร : ขอให้โลกสงบสุข (อ่ะ..อันนี้จริงๆๆ ไม่ใช่อยากเป็นนางเอก)
>>>> 29.เกิดราศีไร :ไม่กุมภ์ก็มังกร --งงอยู่เหมือนกัน--
>>>>30.บ้านอยู่ไหนอะ : ทำไม จะไปเหรอ
>>>>31.ใส่นาฬิกายี่ห้อไร : ไม่ใส่ ไม่ยึดติด
>>>>32.น้ำหอมหละ : เหมือนนาฬิกา...
>>>>33.ชอบกีฬาอะไรมากที่สุดหละ : ระบำใต้น้ำ (ชอบดูนะ--ไม่ชอบเล่น -- คริคริ)
>>>> 34.ชอบคุยโทรสับป่าว : คุยได้แต่ไม่ชอบ
>>>>35.ชอบอ่านหนังสือป่าว : มาก...ต้องอ่านก่อนนอนทู้กวัน
>>>>36.เล่นดนตรีอะไรรึป่าว : ขิม ซอด้วง แต่ไม่ได้เล่นนานมากแล้ว
>>>>37.คุณจะส่งเมลล์นี้ต่อไปมั้ย : อ่ะ...พิมพ์มาขนาดนี้แล้วอ่ะ
>>>>38.คุณคิดยังไงกับความเหงา : ก็อารมณ์วูบนึงที่จิตคิดไปเอง
>>>>39.คติประจำจัยล่ะ : อะไรก็ได้และอะไรก็ไม่ได้//ทุกสิ่งหรือบางสิ่ง//เวลาเปลี่ยนทุกอย่างเปลี่ยน
>>>>40.อารัยทำให้คุณมีความสุขที่สุด :หนังสือและความเงียบ
>>>>41.หนังสือเล่มโปรด : ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นหนังสือเล่มไหนตอบโจทย์ที่เรามีได้
>>>>42.การ์ตูนเรื่องโปรด : โคนัน
>>>>43.รายการโทรทัศน์สุดโปรด : ไม่ชอบดูโทรทัศน์
>>>>44.ละครเรื่องโปรด : ไม่มี
>>>>45.เว็บที่เข้าบ่อยที่สุด : myspace //manager online มั้ง
>>>>46.ผู้หญิง/ผู้ชายในสเป๊ค : ไม่ได้กำหนด
>>>>47.สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้ : อยากนอน...555
>>>>48.ความฝันล่ะ อยากจะทำอะไรในอนาคตรึว่าอยากจะเป็นอะไร : ไม่มีอดีต หรือ อนาคต มีแค่ปัจจุบันที่หายใจและจิตตั้งมั่น
>>>>49.คิดว่าคุณเป็นคนอย่างไร : เป็นคนแปลกๆและเข้าใจยากมั้ง
>>>>50.คิดว่าคนอื่นมองคุณว่าเป็นอย่างไร : อืมม์.. มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเรียกคุณว่าอะไร อยู่ที่คุณขานรับอะไรมากกว่า

เปลือก

*เมื่อพูดถึง "เปลือก" หลายคนคงนึกถึงเปลือกหอย บางคนนึกถึงเปลือกผลไม้ และอย่างน้อย คงต้องมีสักคนหนึ่งแหล่ะที่นึกถึงเปลือกไข่ *

*ถ้าเราค้นหาลักษณะร่วมของสิ่งเหล่านี้ ก็จะพบว่า เปลือกของมัน คือ ส่วนนอกสุดที่ห่อหุ้มเนื้อในเอาไว้ *

*ดังนั้น เปลือก จึงเป็นทั้งภาพ ที่ปรากฏต่อสายตา และเป็นส่วนที่ออกมาสัมผัส สัมพันธ์กับสรรพสิ่งที่เหลือ *

*ถ้าเราถามต่อไปว่า ทำไมพืชสัตว์เหล่านี้ต้องมีเปลือก? คำตอบก็คงมีอยู่ง่าย ๆ ว่า เพราะเนื้อในของมันนิ่ม อ่อนแอ กระทั่งไม่น่าดู *
ฉะนั้นจึงต้องสร้างเปลือกขึ้นมาหุ้มไว้

*แล้วมนุษย์เล่ามีเปลือกด้วยหรือไม่? แน่ละ ในทางกายภาพแล้ว เราคงพูดไม่ได้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์มีเปลือก ทว่าในทางสังคม ใครจะกล้าปฏิเสธว่า ผู้คนมิได้ห่อหุ้มตัวเองไว้ด้วย "เปลือก" สารพัดชนิด พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว เปลือกมนุษย์นั้นมีมากมายหลายหลากกว่าเปลือกหอยเสียอีก และเท่าที่เฝ้ามองสิ่งเหล่านี้มาเป็นเวลานาน ผมเห็นว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่ง*

*ผมเคยเห็นผู้ชายใจนักเลงหลายคน มีเรือนร่างเล็กบ้างกระทั่งต่ำเตี้ย ใช่หรือไม่ว่า ความห้าวหาญของเขานั้นแท้จริง คือ เสื้อเจ็กเกตชั้นดี ที่คอยห่อหุ้มความรู้สึกถูกคุกคามในเบื้องลึก*

*หญิงสาวจำนวนไม่น้อยเชิดหน้าเมินชาย แต่บางทีพฤติกรรมเช่นนั้น ก็อาจเป็นผ้าห่มชนิดหนึ่งที่เธอใช้ปกคลุมหัวใจที่เหน็บหนาวและรอคอยการโอบกอด *

*คนมีเงินถุงเงินถังในบ้านเราชอบสะสมวัตถุสิ่งของราคาแพง เป็นไปได้หรือไม่ว่า ลึก ๆ ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองไม่อาจสร้างมิตรภาพกับผู้คนได้อีกแล้ว ฯลฯ *

*ใช่….ผมเคยถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า ทำไมคนเราต้องมีเปลือก ในที่สุดก็ได้คำตอบที่แสนจะธรรมดาออกมาว่า เปลือกมนุษย์นั้น แท้จริงทำหน้าที่เยี่ยงเดียวกับ เปลือกหอยหรือเปลือกอื่น ๆ คือ ปกป้องเนื้อในที่อ่อนแอ *

*ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้ทุกคนล้วนต้องสร้างเปลือกและเมื่อทุกคนโชว์แต่เปลือกนอก นับวันก็ยิ่งไม่รู้จักกัน ในเมื่อไม่รู้จักกัน ความรู้สึกไม่ปลอดภัยก็เกิดขึ้น จนแล้วจนรอดเราเลยไม่กล้าถอดเปลือกให้ใครเห็นตัวจริง*

ทุกวันนี้ ถ้าเรากวาดสายตาดูไปรอบ ๆ ก็จะพบว่า มีสินค้าและบริการมากมายเหลือเกินที่ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนกระบวนการสร้างเปลือกดังกล่าว

ผู้คนเยอะแยะบริโภคสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อสร้างหรือรักษา IMAGE ที่อยากให้ปรากฏต่อสายตาผู้อื่น

เอาง่าย ๆ ตั้งแต่เรื่องเครื่องสำอาง มีหญิงสาวกี่คนที่สามารถออกจากบ้านได้โดยไม่ต้องทาโน่นทานี่บนใบหน้า ยังไง ๆ หล่อนก็ไม่ยอมเชื่อว่า ผู้ชายที่ออฟฟิศจะมองข้ามเรื่องหน้าตาไปได้

*ถึงคุณผู้ชายก็เถอะ ทุกวันที่ออกจากบ้าน ใช่หรือไม่ ที่อยาก PRESENT ตัวเองในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งคำนวณแล้วว่า ทำให้ชีวิตมิต้องผิดหวัง ต่ำต้อยจนเกินไปนัก*

*พวกที่เป็น BOSS จริงมั้ยที่คุณอยากจะ LOOK GOOD ต่อหน้าลูกน้องตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งนำไปสู่มาด ฟอร์ม การแต่งตัว กิน ดื่ม กระทั่งท่าลุกนั่งที่ปราศจากความหรรษาใด ๆ ผมเชื่อเหลือเกินว่า หลายคนอึดอัดกับเปลือกที่ตัวเองต้องสวมใส่ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน บางคนอาจมาถึงข้อสรุปแล้วด้วยซ้ำว่า ไม่มีที่ไหนปลอดภัยพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง ฉะนั้น ห้วงยามที่เขาสบายใจที่สุด คือ เวลาที่ได้อยู่ตามลำพัง แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะสร้างสังคมที่มนุษย์ไม่มีเปลือกได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากจะต้องเริ่มต้นจากสังคม ที่นิยามความสุขด้วยชัยชนะเหนือผู้อื่น ลึก ๆ แล้ว เราคงทำได้อย่างมากแค่สร้างมุมบางมุมในชีวิต ที่เราพอถอดเปลือกออกได้บ้าง โดยไม่ต้องหวั่นเกรงการทำร้าย

*ปัญหามีอยู่ว่า จะสร้างมุมเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? แน่ละ คำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จคงไม่มี แต่ผมมีแง่คิดบางอย่างที่อยากจะแบ่งปันกันไว้ในที่นี้ มันเป็นแง่คิดที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน

*หลังจากที่สอนหนังสือเสร็จในตอนเช้า ผมเห็นว่า ตอนบ่ายในธรรมศาสตร์นั้นแล้งเหงาเกินไปแล้ว จึงออกไปเดินดูบรรดาแผงแบกะดินที่เรียงรายอยู่ตามถนน ตั้งแต่ท่าพระจันทร์ไปถึงท่าช้าง แผงเหล่านี้ขายของสารพัดอย่าง ตั้งแต่ปลัดขิกใหญ่เท่าน่อง มาจนถึงกล้องส่องทางไกลอันเท่าบ้องกัญชา *

*เดินไปได้สักพักผมรู้สึกคอแห้ง จึงเข้าไปหาอะไรดื่มในร้านกาแฟตรงข้ามมหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะนั่งเหม่อมองผู้คนที่เดินไปมาอยู่หนาแน่นนั้นเอง พลันก็มีเด็กผู้หญิงอายุราว 8 ขวบคนหนึ่ง ยื่นเศษกระดาษหุ้มพลาสติกมาตรงหน้า ในนั้นมีข้อความระบุว่าเธอเป็นใบ้และมาจากครอบครัวยากจน ขอให้เมตตาเธอ ด้วยการซื้อกระดาษเช็ดปากสักห่อ ผมเพ่งมองสีหน้าแววตาของแม่หนูคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบธนบัตรใบละ 20 บาท ยื่นให้หนึ่งใบ เธอหยิบกระดาษทิชชู พร้อมเงินทอนส่งให้ผมอย่างนอบน้อมแล้วทำท่าจะจากไป ผมมองหน้าเธออีกครั้งด้วยสายตาเป็นมิตร ก่อนที่จะยื่นกระดาษทิชชูคืนให้ ในวูบแรกทีเดียว แม่หนูขายกระดาษหันมามองผม อย่าง งง ๆ แต่เมื่อเห็นผมยิ้ม สีหน้าที่ดูหม่นแห้งเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจ "ขอบคุณค่ะ" เด็กใบ้กล่าวกับผมเบา ๆ พอได้ยินกันสองคน ตอนที่เดินออกมาจากร้านกาแฟ เพื่อกลับเข้ามหาวิทยาลัย

*ผมรู้สึกมีความสุขจนอดยิ้มออกมาคนเดียวไม่ได้ จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไร เมื่อคิดถึงว่า ผมคงเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้คนไม่มากนักที่เคยได้ยิน คำขอบคุณจากคนใบ้

ครับ บางที "คนใบ้" รอบ ๆ ตัวคุณ อาจจะยอมพูดออกมาก็ได้ ถ้าคุณทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และในทางกลับกัน คุณเองก็คงจะเลิกซ่อนตัวอยู่ในเปลือกของ "คนใบ้" ถ้าพบใครสักคนที่ให้คุณ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ผมคงไม่ต้องระบุใช่มั้ยว่า อะไรเป็นเครื่องมือสำคัญในการถอดเปลือกมนุษย์!

***บทความจาก คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล****

Monday, October 1, 2007

หลายใจ

ปลายเดือนนี้ก็จะมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
กำลังคิดว่าจะเก็บกระเป๋าแล้วหายตัวไปอยู่ที่ไหนดี
เพราะว่ากำลังหลายใจ..
เพราะว่าอยากไปหลายที่..

..ปาย (เอ่อ คือใกล้กับพม่าไง)
..เชียงใหม่
..ภูกระดึง (จะไหวมั้ยเนี่ย..)
..หนองคาย
..ลาว (อืมม์ น่าสน)
..เวียงจันทร์

ยังสรุปไม่ได้
หาข้อมูลเพื่อจะได้ให้ตัวเองมีกำลังใจ
ไม่ให้แพลนล่มอย่างที่แล้วๆมา
อืมม...
คิดว่าทางที่ดีควรจะไปซื้อตั๋วขาไปไว้ก่อนเลยดีกว่า
อย่างน้อยก็จะได้มีจุดมุ่งหมาย
...ว่าไปแน่ๆ

ว่าแต่...จะไปรถไฟ รถยนต์ หรือ เครื่องบินอ่ะ...

555

ป.ล. วันนี้หวยออก--ไม่เกี่ยวใช่ปะ 555

พอดีว่าซื้อไว้น่ะ ตาซ้ายกระตุกหลายวันแล้ว...

ขอบคุณพระองค์ที่ให้งบประมาณในการเดินทางของลูกครั้งนี้