Wednesday, September 5, 2007

"ปม"

เมื่อก่อนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก...
รู้สึกตัวเองได้ว่าเป็นเด็กพูดมาก...มากเกินความจำเป็น

เป็นมุมมองที่มีในตอนนี้ต่อตัวฉันเองในอดีต

ได้รับข่าวสารข้อมูลอะไร ก็จะไปบอกกล่าวต่อๆไป
โดยที่ไม่ได้กรองก่อนว่า
*ควร* หรือ *ไม่ควร*
ที่จะบอก จะพูดออกไป
พูดไปเรื่อย ๆ ...
ไม่คิดว่าสิ่งที่พูดนั้นจะกระทบ *ใจ* ใครบ้าง

ฉันไม่ได้โทษในสิ่งที่ฉันเป็นตอนนั้น
แต่กลับรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ
เพราะมันทำให้ฉันเป็นฉันในวันนี้

คำพูดที่พูดไป มันเป็นมุมมองของเด็กคนหนึ่ง
ที่คิดได้น้อยเกินกว่าจะรู้ว่าอะไร ควรหรือไม่ควร
(ไม่ใช่อะไรดีหรือไม่ดี)

มันเป็น*ปม*บางอย่างที่อยู่ในใจ
ที่วันนี้ *เลือกได้*
...และไม่อยากเป็นอย่างวันนั้น

ฉันไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่ฉันเลิกพูดเรื่องชาวบ้าน
เรียกว่านินทาก็ได้ถ้ามันเป็นเรื่องรุนแรง
ไม่ได้ดัดจริตที่มี แค่รู้สึกว่ามันไม่ชอบที่จะทำ
และไม่อยากเป็นตัวเอกของเรื่องราว
ในวงสนทนาของคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
แต่เพราะฉันหยุดคนอื่นไม่ได้
ฉันก็เลยเริ่มที่จะหยุดที่ตัวเองก่อน

ฉันเริ่มจมอยู่กับตัวเองมากขึ้น
จากที่เคยติดสอยห้อยตามใครต่อใครไปไหนมาไหน
ก็เปลี่ยนเป็นคนที่มีที่ของตัวเอง
และมีรัศมีของขอบเขตค่อนข้างแรงกล้า
ความเป็นโลกส่วนตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนฉันเองก็ยั้งไม่อยู่ในบางครั้ง
บางครั้งหากฉันไม่อยากที่จะเจอใคร
ก็ไม่มีใครสามารถเจอฉันได้เช่นกัน

ฉันมักจะพูดกับตัวเอง และสมุดบันทึก
อาจป็นเพราะมันไม่มีเสียงโต้ตอบกลับมาก็เป็นได้
หัวเราะและร้องให้ไปในนั้น
ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งที่จะก่อเกิดได้
...ล้วนเก็บอยู่ในนั้น
มันเหมือนได้พูดกับความคิดของตัวเอง

ฉันเริ่มเขียนไดอะรี่ตั้งแต่ประมาณ 14-15
ตอนนี้สิริรวมสมุดบันทึกที่มีก็ 15 เล่มแล้ว
เรื่องราวของฉันมากมายถูกเขียนอยู่ในนั้น
และมันก็ทำให้ฉันพูดน้อยลง...

เมื่อก่อนฉันเป็นอีกคนที่ใช้โทรศัพท์ได้ยืนยง
สถิติที่ทำไว้คือ 12 ชั่วโมง
ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยอะไรหนักหนา
แต่ก็ทำไปแล้วล่ะ

พอเวลาพ้นผ่าน
การที่ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้ามากๆ
ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด
รู้สึกเหนื่อยจริงๆนะ เหมือนไปวิ่งมาสักร้อยรอบ
อาจเป็นเพราะสิ่งที่กำลังเข้าสู่รูหูฉัน
มันเกิดทำปฏิกริยากับการเต้นของหัวใจก็เป็นได้
และหนทางแก้ไขที่ดีก็คือ การนอนหลับ
...เพราะไม่ต้องคิดอะไร

ฉันไม่เคยพลาดการโทรมาของใครๆ
ไม่ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืนแค่ไหน
เสียงโทรศัพท์ก็จะเปิดตลอดเวลา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันรบกวนการผักผ่อนมากแค่ไหน

เมื่อเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือ
ทุกการติดต่อแทบจะไม่เคยพลาด
เหมือนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
ไม่เคยปล่อยให้โทรศัพท์อยู่ห่างตัว
และไม่เคยมีเรคคอร์เวลาของการโทรเข้า
มากกว่าโทรออกสักครั้ง
ห่างกันประมาณเท่าตัว
ไม่ว่าจะพยามลดแค่ไหนก็ตาม

หลังๆมานี้การมีโทรศัพท์มือถือ
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตามตัวฉันได้ง่ายขึ้น
ยังแต่จะทำให้คนที่โทรหาเกิดอาการประสาทด้วยซ้ำ
เพราะไม่โทรกลับสำหรับมิสคอล
หากไม่มีธุระก็ไม่ค่อยโทรหาใคร
ลิมิทของฉันสายสุดท้าย
อยู่ที่ 3 ทุ่มสำหรับ *คนอื่น*
และ 4 ทุ่ม สำหรับ *คนวงใน*
และปิดเสียงตลอดการนอนหลับ
ไม่ว่าจะเป็นหลับกลางคืน หรือฝันกลางวัน
ทางที่ดี คือ ทิ้งข้อความไว้หากด่วนมากจริงๆ

วันว่างๆ ฉันมักเอาหนังสือเล่มที่อยากอ่าน
อ่านหรือบางทีอ่านแล้วก็อยากอ่านอีกมาอ่าน
ไม่ก็เล่นเกม
ฉันไม่ดูกล่องเสียงที่พูดได้
ไม่มีสมองที่จะคิดและกรองก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา
และฉันก็ไม่ต้องการให้กล่องเสียงนั้น
มาโน้มน้าวความเป็นทุนนิยมเพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้
คงไม่เป็นไรมั้งหากฉันจะไม่ใช่สาวกของกลุ่มการค้าทักษิโนมิกส์

ฉันมักจะพูดในสิ่งที่ฉันอยากจะพูด
ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะมาคุมาแคะแค่ไหน
ฉันก็ไม่พยามพูดในสิ่งที่ฉันไม่อยากพูด
หรือพยามยามหา *หัวข้อ* ในการสนทนา

การฟังคนอื่นพูดถือเป็นทางออกที่ยอดเยี่ยม
รู้เขา แต่ไม่รู้เรา
ฉันไม่เคยรบแพ้เลยให้ตายสิ!
เพราะว่าฟังมาก เลยรู้จักมาก
รู้มากตามมาด้วยคิดมาก (เกินความจำเป็น)
555
คิดแทน รู้สึกแทน เป็นอาการเสือกประเภทหนึ่ง
ที่จิตสมมติให้เป็นตัวละครที่เรากำลังนั่งฟังเรื่องราวและปัญหาของเขาอยู่
"ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะ....บลา บลา บลา..."
หากเรามีสติและสมาธิมากพอ...
จิตนั้นจะถูกดึงกลับสู่ปัจจุบัน
เพื่อให้รับรู้ว่า ฉันไม่ได้เป็นเธอ และเธอก็ไม่ได้เป็นฉัน
และเราไม่ควรคิดแทนกันและกัน
แต่เราควรคิดถึงกันและกัน

อาการพูดน้อยของฉันเริ่มโคม่า
ถึงขนาด ไม่พูดเลย
รับฟังความต้องการของอีกฝ่ายอย่างเดียว
รับฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำตามนะ
เพราะบางเรื่องมันก็เกินกว่าที่จะเสือกได้นั่นเอง

เคยม๊ะ
เวลาที่เจ๋อไม่ว่าจะหวังดีหรือไม่ดี
แต่สุดท้ายเจ็บปวดราวกับเป็นตัวเอง
เพราะความคาดหวังที่มี (ต่อคนอื่น) มันไม่บรรลุนั่นเอง
และบางครั้งปัญหาที่นำมาเล่าสู่กันฟังนั้น
ช่วยแก้ไปสามพันกว่ารอบแล้วมั้ง
เรื่องเดิมๆ นิยายเดิมๆ
และ นิสัย (สันดาน) เดิมๆ
และจะให้กรูเข้าไปแก้ไขตรงไหนหว่า
แถมสุดท้ายแล้ว...
กลายเป็นน้องหมาโดยไม่รู้ตัว
555--สมน้ำหน้า--

ฉันเป็นคนหน้าตาเฉยๆ ดูนิ่งๆ
เลยดู (ว่า) หยิ่งในบางครั้ง
ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่หลายๆคนจะกล่าวขานในความเด็ดขาดของฉัน
ซึ่งก็ไม่ได้มากมายเกินกว่าที่มันควรจะเป็น
เพียงแต่มันออกจะเยอะกว่าชาวบ้านเค้าอยู่สักหน่อย
ลูกบ้ามันเยอะ...
แต่หากได้มากกระทบไหล่ได้ลายเซ็นกันจริงๆแล้ว
จะเรียนรู้ได้ว่า ฉันเป็นผู้ฟังที่ดี
และไม่ได้ทำหน้าที่ผู้พูดที่ดีกระจายข่าวต่อไป

ถึงคราวฟังก็ตั้งใจฟัง
คิด ตริตรองก็ที่จะ *ทำร้าย ทำลาย* น้ำใจใครออกไป
หากไม่มีสิ่งที่ดีต้องพูด
ถ้อยคำเหล่านั้นก็เก็บ กลืนมันลงไป
...ไม่ผิดกฎหมาย...

แต่ทั้งนี้และนั้น
จะต้องยืนอยู่บนความเป็น และจริง
ต่อให้จะแสบร้อนแค่ไหนแล้ว
ก็ต้องทนรับสภาพ หรือรับสารภาพกันให้ไหว
การเข้าข้างตัวเองและคนที่เรารักอย่างหลับหูหลับตา
เป็นการกระทำที่หวังดี แต่ประสงค์ร้าย (กาจ) อย่างรุนแรง
และเป็นการกระทำที่เหียกเกินกว่าคนอย่างฉันจะยอมรับและก้มหัวทำตาม

ตอกตะปูด้วยคำพูดร้ายๆบนใจใคร
ไม่ใช่เรื่องสนุกหรือสาแก่ใจ
ลองให้คนอื่นมาตอกตะปูที่หัวใจเราบ้างสิ
แล้วจะรู้ว่ามันเจ็บสาดแค่ไหน
อยากโดนบ้างไหม
หรือโดนมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่

บางทีฉันในตอนเยาว์--ยังไม่คิดให้มันมากขนาดนั้น
เลยไม่รู้ผลที่มันจะไปกระทบกับคนอื่นนั้นมากมาย
เมื่อเวลาทำให้ความคิดและมุมมองเปลี่ยนไป
วันนี้ก็เลยทำอีกมุมที่วันนั้นไม่เคยมองบ้าง
และได้รับรู้ถึงความสงบ..ที่เสียงไม่สามารถเข้าถึง

ครั้งนี้เมื่อฉันได้รับรู้เรื่องราว
สิ่งที่ฉัน *ควร* จะทำ
คือการรับฟังความเห็นทั้งสองฝ่าย
กล่าวออกมาในมุมที่มองต่างกัน
ได้แค่รับฟัง...ฉันทำได้แค่นั้น
ความเห็นที่มีที่กล่าวออกไป...
คือความเห็นในมุมมองที่จะทำให้เธอมีกำลังใจและใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
ไม่ว่าจะอยู่ต่อเพื่ออะไรก็ตาม
หน้าที่ของฉันทำได้แค่เพียงเท่านี้
หากมากว่านี้...มันจะเป็นการ *ล้ำเส้น* มากเกินไป
และที่สำคัญ ฉันไม่ได้ต้องการที่จะทำลายกรอบของฉัน
ที่ตัวฉันตั้งมันขึ้นมาเองกับมือ
วันเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นตามที่มันควรจะเป็น
ตามที่บุญของใครได้สั่งและสมกันมา
ความรักที่เธอทั้งสองมีต่อกัน
มันจะช่วยให้วันหนึ่ง
เธอหันหูเข้าหากัน
ไม่ใช่ ปากหรือคำพูดเสียดสีที่พยามสาดใส่กันเหมือนตอนนี้
ฉันเองก็อยากช่วย
แต่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงมากพอขนาดนั้น
และฉันก็อยู่วงนอกเกินกว่าที่ฉันจะยื่นจมูกเข้าไปในชีวิตของใคร

ความช่วยเหลือที่หยิบยื่น...
เป็นความช่วยเหลือที่ฉันตรองแล้วว่ามันเหมาะสม
ทั้งต่อเธอและต่อตัวฉันเอง
ฉันให้เธอยืมหูของฉันได้ตลอดเวลาที่เธอต้องการ
แต่ขอสงวนสำหรับคำพูดและความคิดไว้
เพราะ...มันมากเกินความจำเป็น

ฉันรู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอทั้งสองจะผ่านมันไปได้
มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น...
เขย่งปลายเท้าขึ้นมาจากจุดที่เธอยืนอยู่
แล้วเธอจะเห็น *บางอย่าง* ที่มัน *ชัด* ขึ้น
เพียงแค่ตอนนี้เธออาจจะมองไม่เห็นในมุมที่เธอมองอยู่ก็ได้

สิ่งนึงที่เธอทั้งสองอาจจะไม่รู้
คือ..ฉันเลิกเจ๋อนานแล้ว..

ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าตัวเองดีหรือไม่ดี
ฉันกำลังบอกในสิ่งที่ฉันเป็น..เท่านั้นเอง
และฉันไม่ได้บอกใคร...
ฉันบอกและเตือน..ตัวเอง

1 comment:

KRISS said...

เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีกครับ คนเรามีกรอบชีวิตหลายกรอบ ไม่ว่าจะคิดว่าตอนนี้เป็น "ตัวเอง" ขนาดไหน สุดท้ายอีก 10 ปีกลับมามอง ก็จะรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ "ตัวเราตอนนี้" อยู่ดี

ผมอาจจะแก่ไปนะ เลยมี "รอบ" อะไรแบบนั้นหลายครั้ง จนรู้สึกว่า "อะไรคือตัวเรา" กันแน่ "ทั้งหมด" หรือ "ไม่มี"

คำตอบที่พอใจ คงไม่มี และไม่หา

ปล่อยให้มันเป็นไป (หยาบๆคือ ช่างแม่ง)