Friday, August 17, 2007

Cheers Up!!

ตอนแรกเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วแต่เกรงว่าจะไม่ได้ใจพอเขียนไทยดีกว่า...

นี่เป็นความคิดเห็นในส่วนตัวที่พึงมีและอยากจะบอกกล่าว
ขอโทษหากเป็นการล่วงละเมิดมากมายเกินไป
ขอเปลี่ยแปลงสรรพนามที่เรียกขาน มา ณ ที่นี้
(ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด)

จำได้มั้ยเมื่อก่อนที่เธออยากให้ฉันไปอยู่ด้วย
สุดท้ายก็ไม่ได้ไป..
เพราะหม่อมแม่ไม่อนุญาติ
ซึ่งตอนนั้นก็คงไม่มีใครเค้ารู้หรอกว่าฉันนั้นเสียใจมากแค่ไหน
แทบจะเรียกว่าเป็นจุดจบของโลกก้อได้มั้ง
ซึ่งพอมาตอนนี้ก็ไม่อะไรแล้ว
ยังคงอยากไปแต่ก็นะ...
บางทีพระเจ้าคงรอเวลาให้ข้าเข้มแข็งมากกว่านี้ก็เป็นได้

เวลาที่เราเจออะไรที่มันยากๆ แย่ๆ เซ็งๆ
เรามักจะอินไปกับมันจนน้ำตาไหลออกมาอยู่บ่อยๆแต่พอเมื่อเวลาผ่านไป
--เรามองย้อนกลับไป--
บางครั้งเราก็ได้เสียงหัวเราะจากสิ่งที่ตัวเองทำลงไปบ้างเหมือนกัน..
แม้ตอนที่เจอกับมันจริงๆ--อยากจะหัวเราะแค่ไหนก็ทำไม่ได้เลยสักที

ซึ้งอยู่เหมือนกัน--เวลาต้องอยู่ไกลๆบ้าน
--เหมือนตอนที่อยู่ที่ภูเก็ตได้เรียนรู้อะไรอะไรมากขึ้น
สะกดคำว่ารับผิดชอบได้มากขึ้นทั้งที่เมื่อก่อนสะกดไม่เป็นเลย
โชคดีที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรให้มันมากมาย
--ลำพังรับผิดชอบตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะรอด
--แต่มันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวได้ดีขึ้น

ตอนนี้บ่อยๆที่มองย้อนกลับไป--
แล้วนั่งหัวเราะตัวเองในความโง่เขลาที่ไม่ได้ไปอยู่ที่นั่น
พระเจ้าคงกำหนดมาแล้วให้เป็นอย่างนั้น
มันก็เป็นแค่เพียงหนึ่งในหลายๆโมเม้นท์ที่เราเสียใจแต่พอเวลาผ่านไป
--มันก็ผ่านไปด้วยเมือนกันแต่หากคิดว่ามันไม่ได้ผ่านไป มันยังติดอยู่ในใจ
นั่นก็หมายความว่าเราอินกับมันมากเกินไป
ปล่อยวาง ปล่อยใจ อะไรที่มันแย่ก็ปล่อยให้มันเดินออกไป

พอโตขึ้น ดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็จะไม่ค่อยสนุกสนานเหมือนตอนที่เป็นเด็ก
บางทีคงเป็นเพราะ ภาระ หน้าที่ และความรับผิดชอบที่พึงมี
การ์ตูนที่เคยว่าสนุกนักหนา กลับรู้สึกหนวกหูในบางครั้ง
มุมมองที่เคยมี คำพูดที่พูดโดยไม่คิดก็ต้องคิดมากๆขึ้น
คิดมากจนบางครั้ง เขียนความในใจอะไรไปก็ไม่ได้ส่ง
ปล่อยๆให้มันเป็นไป เพราะรู้ว่ายังไง ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี

ถ้าจะขอ หรืออ้อนวอนสักครั้งจะได้รึเปล่า
ขอให้หยุดเสียทีความคิดที่ว่า
อยู่ไกลกัน เมื่อมีปัญหา ไม่อยากเล่าให้ฟัง เพราะกลัวว่าจะเป็นห่วงมาก
วันนี้มีคนที่เป็นห่วงก็ปล่อยให้เค้าเป็นห่วงและคิดถึงกันต่อไป
วันนึงถ้าไม่มีคนคนนั้นแล้ว--จะหาใครมาห่วงให้เทียมเท่าก็ดูจะเป็นไปได้ยาก

ฉันเองก็รู้ว่าเธอนั้นเข้ม และแข็งพอที่จะอยู่ในที่แห่งนั้น
คงมีเพียงแต่คนโง่หรือคนที่ไม่รู้จักนรกเท่านั้นเองที่คิดผิด (มาก)
มาต่อกร ต่อปากฟาดฟันกับเธอ
ใครจะทำก็ทำไป ฉันขอบายนะงานนี้
ในส่วนลึกของจิตใจ ที่ไม่เคยได้เอ่ยออกไป
และไม่เคยรู้ว่าเธอเองรับรู้มันบ้างรึเปล่า
ห่างกันไปนาน
--นานจนจำไม่ได้ว่าสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นทำให้
เธอคนที่ฉันรักเปลี่ยนแปลงไปมากมายแค่ไหน
เวลาที่เจอกับอะไรแย่ เธอสู้กับมันได้อย่างไร
อะไรกันนะที่ทำให้เธอเข้มแข็งได้ขนาดนั้น
และอะไรที่ทำให้เธอต้องอดทนแลอยู่สู้กับมันต่อไป
ถ้าเป็นฉันคงเก็บกระเป๋ากลับบ้านเรานานแล้ว
เพราะรู้มาว่าการใช้ชีวิตที่นั่นมันลำบาก
อย่างน้อยก็ไม่สบายเหมือนบ้านเรา...

ฉันเองก็ไม่เคยถามถึงปัญหานั้นกับเธอสักที
เมื่อเราโตขึ้น "เส้นแบ่งเขตความเป็นส่วนตัว" มันก็ชัดเจนขึ้นทุกที
มันทำให้รู้ว่า ไม่ว่าเธอจะทำจริงหรือไม่จริง
ฉันก็ไม่ควรที่จะถามหรือก้าวก่ายในสิทธินั้นๆ
และโดยแท้จริงแล้ว ฉันเองก็เห็นแก่ตัว...
เพราะกลัวว่าคำตอบที่ได้รับมา
...มันจะลบล้างและทำลายความเชื่อมั่นเชื่อถือที่มีต่อเธอ
ริงๆแล้วเรื่องแค่นี้ไม่สามารถทำลายอะไรระหว่างเราลงได้หรอก
มุมมองอีกด้านที่เธอเปิดให้ในวันนั้นที่เรานอนคุยกัน
..ทำให้ได้รับรู้อีกฟากฝั่งของข้อมูล
แต่เธอกับคนนั้น..ฉันไม่ได้รักเค้าอย่างที่รักเธอ
..อย่าพูดถึงความเชื่อมั่นเลย...ไม่มี

ฉันไม่ใช่คนตัดสินเกมนี้หรือเกมใดๆในชีวิตของเธอ
ทุกอย่างนั้นมันขึ้นอยู่กับ "ความเป็นไปและพอใจ"
ขอให้เธอได้ฟังเสียงใจตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร
และตัวเธอต้องการให้มันเป็นอย่างไร ก็ทำมันไป...
หากทุกอย่างถูกกำหนดแล้วไซร้ก็ขอให้ยอมรับ...และยืนหยัด

จริงๆแล้วเรื่องราวของความรัก
มันเป็นเรื่องของคนสองคน--ไม่ใช่คนหลายคน
คำถามบางคำถามก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเสมอไป
เว้นช่องคำตอบนั้นให้ว่างไว้...เพราะเธอเองรู้ดีว่าคำตอบในใจนั้นคืออะไร
อย่าสนใจคนพูดของคนอื่นให้มันมากมาย
จนลืมความรู้สึกในใจของตัวเองว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร
ความรักมันไม่ได้มีเรื่องถูกหรือผิด ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น
ทุกคนมีเหตุผลที่เป็นของตัวเอง--ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม

นี่เป็นข้อความดีๆที่อ่านเจอในหนังสือ

"ชีวิตคนเราก็เหมือนกับรางรถไฟ ที่ยาวไกลมาก...
...จนไม่รู้ว่าปลายทางนั้นอยู่ตรงไหนและสิ้นสุดที่ใด
สถานีหน้าจะมีใครบ้างที่ขึ้นมาใหม่ หรือลงจากไป
แต่อย่างน้อย ตอนนี้เราก็ยังรู้ว่าเรากำลังอยู่ตรงไหน
อยู่กับใคร แล้วเราพอใจกับมันหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าภาพรถไฟที่สวยที่สุดของแต่ละคนเป็นภาพอะไร
แต่สำหรับผม มันคือภาพของคนที่กำลังวิ่งตามขบวนรถไฟ
ก่อนที่จะกระโดดขึ้นรถไฟทันในท้ายที่สุด
และไม่ว่าคนนั้นจะวิ่งด้วยท่าไหนก็ตาม

แต่ภาพของคน...

...ที่กำลังพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อไม่ให้ความฝัน ความสุข
หรือความรักของตัวเองแล่นจากไป ไม่ว่าจะมุมไหน
...มันก็สวยงามเสมอ"

หากมีอะไรอยากเอื้อนเอ่ยอยากเล่าสู่ ก็ยินดี
ฉันจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่และจะไม่พูดมันขึ้นมาอีก
เพราะอย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติในสิ่งที่เธอตัดสินใจ
ฉันต้องขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่นำเธอมาสู่วันนี้และมีวันที่ดีต่อๆไป
ขอบคุณพระเจ้า ที่มอบแบบฝึกหัดชีวิตแก่เธอ ให้เธอได้เรียนรู้และสู้กับมัน
ขอบคุณก๋ง อาม้า เหล่าอี้ และผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้อง
ขอบคุณ "คุณคนนั้น" (ที่หวังว่าสักวันจะไปขอบคุณเค้าถึงที่)
ที่คอยเป็นทั้งกำลังกาย และกำลังทางด้านจิตใจให้เธอเสมอ
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ

ฉันเองยังคงรัก เคารพ ชื่นชม พอใจ ในตัวเธอมากมาย
ความรู้สึกตอนเด็กเป็นอย่างไร ในตอนนี้ก็คงเดิมและไม่เปลี่ยนแปลง
ก็ยังมั่นใจว่าเธอก็เป็นเธอเป็นคนที่ฉันรัก และรักฉันเช่นกัน
...เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
และขอให้เธอได้รู้...ว่ามีหนึ่งคนตรงนี้ที่จะหวังดีตลอดไป
ป๋าฉันมักจะพูดว่า --แล้ววันนึงจะเป็นของเรา--
และฉันเองก็เชื่อว่า--อีกไม่นานคงถึงวันของเธอ--
ฉันเองจะเฝ้ารอดูอย่างใจจดจ่อให้วันนั้นมาถึง
...และรวมยินดีไปกับเธอ

หากไม่มีใคร--พวกเรา--เมืองไทย--
ยินดีเป็นหนึ่งในสถานีให้พัก--ก่อนจะเริ่มการสู้รบในสถานีต่อไป

บุญรักษา
คนที่คุณก็รู้ว่าใคร (555)
ป.ล. ฝากความคิดถึงถึงนางฟ้าของฉันด้วยนะ--
...แล้ววันนึงอันไม่ไกลนัก...เมื่อพร้อมจะบินไปหา

No comments: